เมืองไทยไม่น่าเลย!: 2011

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 13, 2554

อ่อนไหวใช่อ่อนแอ ไร้น้ำตาใช่ว่าไร้หัวใจ

กระแสข่าวร้อนแรงอันที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องไม่ใช่เรื่องที่กลายมาเป็นเรื่องอันมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน

ไม่กี่วันมานี้เมื่อนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต่อไปนี้ขอเรียกสั้นๆว่าคุณปูหรือนายก ได้มีน้ำตารื้นขึ้นมาระหว่างตรวจเยี่ยมสภาพความเป็นอยู่ชาวบ้านจังหวัดนครสวรรค์หลังน้ำลด ที่ข่าวออกมาในลักษณะที่นายกร้องไห้จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่านายกอ่อนแอ ยิ่งจะทำให้ประชาชนที่รอคอยความช่วยเหลือเกิดความวิตกกังวลว่าวุฒิภาวะของคุณปูอาจมีปัญหาไม่เพียงพอแก่การเป็นนายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของไทย

ซึ่งคุณปูออกมาชี้แจงว่าไม่ได้ร้องไห้ เพียงแค่มีน้ำตาคลอเท่านั้น เพราะตื้นตันใจที่เห็นชาวบ้านรอดพ้นจากภัยเสียที

ข่าวนี้ให้อะไรแก่เราบ้างนอกจากเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือเป็นเพียงหนึ่งในละครหลังข่าวเท่านั้น

เราลองมานึกภาพตัวเองสวมบทบาทผู้แก้ไขปัญหาทุกวันออกไปพบผู้ประสบภัย บางวันเห็นความรันทดถึงที่สุด บางวันมีคนให้กำลังใจ บางวันมีคนที่เราสามารถช่วยได้จนรอดพ้นภัย เราจะมีน้ำตาหรือไม่ ยังไม่ต้องตอบ นิยายชีวิตเรื่องยาวอย่างนี้อาจยากจินตนาการ

ใครเคยมีประสบการณ์เดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยยังไม่ต้องพูดถึง ลองคิดถึงเรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่งซึ่งเราอาจมีประสบการณ์ร่วมกันเกินครึ่ง คือดูหนังดีๆสักเรื่องหนึ่ง มีใครไม่เคยเสียน้ำตาหรือกระทั่งมีน้ำตาคลอบ้างให้กับการดูหนัง

ยกมือขึ้น

น่าจะมีน้อยกว่าน้อย เมื่อตัวเอกได้พบเรื่องราวอันน่ารันทดใจ มีบ้างสูญเสียบุตร ปวดร้าวเศร้าโศกแทบขาดใจ หรือมีความตกต่ำในชีวิตจนถึงขีดสุดแล้วมีคนให้กำลังใจ หรือคาดว่าหมดหนทางรอดชีวิตแล้วผ่านพ้นได้ปาฏิหาริย์ หรือบ้างยอมสละตนเพื่อช่วยโลกให้พ้นภัย

เราทุกคนต่างเสียน้ำตาให้กับเรื่องเหล่านี้ไม่ว่าแบบใดแบบหนึ่งที่กระทบจิตใจเรา

มีบ้างที่เสียน้ำตาให้หนังบางเรื่องในสถานการณ์พิเศษ เช่นเพิ่งสูญเสียคนรักไป พอดีหนังเรื่องนี้กระทบใจเราด้านนั้นพอดีจึงเสียน้ำตาร่ำไห้ออกมา บางคนไม่ร้องไห้แต่ดวงตาแดงก่ำก็เป็นความหมายเดียวกัน

คิดว่าคนหนึ่งคน ที่เห็นคนเดือดร้อนอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาสามเดือนทุกวัน เหมือนดูหนังหลายเรื่องในหนึ่งวัน ทุกเรื่องเป็นหนังโศก หรือรันทดใจ หรือไม่ก็เป็นละครหลังข่าวมีตัวอิจฉาด่าทอ สลับกันไปมาให้ตัวเอกท้อใจ จนถึงการปรบมือให้กำลังใจในภาวะยากลำบาก

คุณคิดว่าถ้าเป็นคุณเองจะเสียน้ำตากี่ครั้ง ลองนับนิ้วดู ลองคิดดูว่าถ้าเป็นตัวคุณเองไม่เสียน้ำตาเลย คุณคิดว่าคุณเป็นคนอย่างไร เคยมั้ยครับที่ดูหนังบางเรื่อง เอาแบบว่าตอนเด็กๆดู”ครูบ้านนอก” ตอนครูปิยะตาย แล้วมีเพื่อนจำนวนน้อยมากๆอาจจะมีสักคนเดียวในห้องหรือในกลุ่ม ที่บอกว่า “กูไม่เห็นเศร้าเลย” คุณคิดว่าเขาเป็นคนอย่างไร เป็นคนเข้มแข็งเช่นนั้นหรือ หรือตอนนั้นคุณคิดว่าเขาใจดำ

จำได้หรือเปล่าครับ ความรู้สึกนั้น

ยังมีหนังบางเรื่องที่ เมื่อเราพบพานตัวเอกที่จิตใจตกต่ำแต่ต่อสู้สุดความสามารถ เมื่อมีคนให้กำลังใจเขาน้ำตาไหลออกมา ก่อนปาดน้ำตาทิ้งก้าวออกไปต่อสู้ต่อไปด้วยจิตใจที่เข้มแข็งบวกกับพละกำลังที่มากขึ้น เราตบมือให้ในใจ รู้สึกฮึกเหิมตามไปด้วย

แล้วทำไม เมื่อเราทั้งเสียน้ำตา และตบมือให้กำลังใจตัวเอกที่เป็นวีรบุรุษของเรื่องผู้เสียน้ำตา เราจึงต้องตั้งคำถามเรื่องการเสียน้ำตาของผู้นำด้วยเล่า

เราตั้งคำถามเรื่องการเสียน้ำตาเป็นเรื่องเป็นราว เช่นนั้นเราควรตั้งคำถามต่อผู้ที่ไม่เสียน้ำตาด้วยหรือไม่

ความอ่อนไหว ต้องเหมารวม ความอ่อนแอเข้าไปด้วยเช่นนั้นหรือ

แล้วความเข้มแข็งแย้มยิ้มไร้ร่องรอยน้ำตา แท้จริงแล้วคือ ความไร้หัวจิตหัวใจหรือไม่

ในชีวิตประจำวันคุณพบพานผู้คนมากมาย เขาเหล่านั้นเป็นผู้นำไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม่ผู้มีหัวใจแข็งแกร่งร่ำไห้ทุกครั้งที่เห็นลูกป่วยหนักแต่ก็ยังสู้ต่อไป พ่อผู้ไม่เคยมีน้ำตาแต่คุณทราบดีว่าเขาปวดร้าวทุกครั้งที่เห็นลูกล้มเหลว

ที่อยากจะบอกก็คือ น้ำตาไม่ใช่คำตอบ การกระทำคือข้อพิสูจน์ที่ดีกว่า

อย่างที่จั่วหัวเรื่องเอาไว้ เรื่องมันไม่ใช่เรื่อง เรายังรับเอาข่าวที่เจือปนความรู้สึก ข่าวที่ขายความเป็นดราม่า เรายังรับลูกความเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการนำนิสัยของปัจเจกบุคคลมาเป็นประเด็นสำคัญ

ไม่ต่างกับสมัยที่ดูถูกนายกสมัครเพราะกินอาหารไม่เรียบร้อย หรือแคะขี้ฟันกลางสภา ในขณะที่บุคคลเดียวกันนี้เป็นคนเริ่มต้นวงแหวนรอบนอก และอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำที่มีประโยชน์ต่อคนไทยอย่างมหาศาล

ช่วยกันหยุดทีเถอะครับ

ถามว่าที่อ่อนแอมันใช่นายกที่ร่ำไห้หรือเปล่า

หรือเพราะ สังคมไทยกันแน่ที่อ่อนแอ

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 03, 2554

ละครโรงใหญ่ที่คลองสามวา

ขัดใจคุณชายสุขุมพันธฺุ์อยู่บ้าง แต่ท่านผู้ว่าเป็นทางของท่านที่จะแสดงการทำงานในแบบของท่านไป แต่ที่ขัดใจมากกว่าก็คือสื่อของไทย
นับตั้งแต่มีข่าวเรื่องชาวบ้านคลองสามวาพากันไป เรียกว่ายกพวกกันไปกดดันการเปิดประตูน้ำ กระทั่งว่าถ้าไม่มีประตูก็เลยสร้างประตูขึ้นเอง ด้วยการทำลายหูประตูน้ำ ก็เพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าเขาเรียกข้างๆประตูว่าหูประตู
ปํญหาคือแอ็คชั่นตามหลังที่ท่านผู้ว่าสั่งการใหญ่ให้ตำรวจนำกำลังคุมเข้มซ่อมหูประตูน้ำ ซึ่งข่าวล่าสุดคือทุกอย่างเป็นไปด้วยดีไม่มีผู้ต่อต้าน แต่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน รองผู้ว่าให้สัมภาษณ์สื่อ ว่า 50 เขตมีสิทธิ์จมอยู่ใต้น้ำเพราะคลองสามวา
จริงหรือเท็จยกไว้ก่อน
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ถูกนำมาขยายใหญ่โตจากสื่อจนกระทั่งแทบกลายเป็นการยุยงให้คนที่ได้รับผลกระทบ เกลียดชังคนคลองสามวา ขอบอกก่อนว่าผู้เขียนเป็นผู้ได้รับผลกระทบไม่ใช่คนคลองสามวา แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ การออกข่าวในลักษณะที่ว่า ชาวบ้านคลองสามวาเป็นคนไม่รับรู้สถานการณ์ไม่เข้าใจอะไรเลย จนกระทั่งว่าทำไมเห็นแก่ตัวขนาดนี้ นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
ผู้พุูดได้พูดไปแล้ว แต่การที่สื่อช่วยขยายความโดยเน้นความเห็นด้านเดียวเป็นเรื่องอันเหมาะสมหรือไม่
หากมีความรุนแรงสืบเนื่่องเรื่อยไปเนื่องจากคนมีความเห็นเป็นคู่ตรงข้ามกันในอีกหลายๆที่ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ
อย่าลืมว่ารายการข่าวในปัจจุบันกลายสภาพจากการรายงานข้อเท็จจริง ไปสู่การเป็นทีวีโชว์ในรูปแบบหนึ่ง เราไม่อาจโทษว่าคุณสรยุทธที่เป็นผู้จุดประกาย การเล่าข่าว เพราะหากไม่ใช่คุณสรยุทธสักวันก็ต้องมีคนลุกขึ้นมาทำ มันเป็นกระแสของโลกที่อย่างไรเสียมันก็ต้องเกิด เมื่อผู้คนหิวข้าวมีคนมาเสริฟ เมื่อผู้คนหิวข่าวก็มีคนมาเสริฟ ฉันใดฉันนั้น
แต่เมื่อมันไม่ได้มีเพียงข้อเท็จจริง เปรียบได้กับความแตกต่างระหว่างการขายข้าวเปล่าหรือข้าวสาร กลายเป็นการขายข้าวผัดอเมริกัน มันมีการปรุงแต่งเสริมเติมให้เอร็ดอร่อยถูกปากคนกิน ทำให้คนไม่สามารถมองเห็นข้าวกับไข่ดาวและไก่ทอดแยกกันอยู่ได้ เพียงมองเห็นมันเป็นข้าวผัดอเมริกันจานนั้น อร่อยจนลืมไปว่่า มันคือข้าวกับไข่ดาวและไก่ทอด
ข้อเท็จจริงถูกคลุกเคล้ากับความเห็น จนเป็นสมดังกับคำว่า "เรื่องเล่าเช้านี้" ตามชื่อรายการของคุณสรยุทธ ซึ่งผมว่ามันถูกต้องมากๆ เพราะสิ่งที่เราดูอยู่นั้น ไม่ใช่ไม่ดี ไม่มีข้ออคติใดๆกับคุณสรยุทธ ชอบดูเสียด้วยซ้ำ แต่ว่ามันก็เป็นเพียงเรื่องเล่าอย่างที่คุณสรยุทธจั่วหัวเอาไว้ มันไม่ใช่ข่าว
ทีนี้ ถ้าหลายๆคนหลายๆรายการเฝ้าแสดงข้อคิดเห็นไปในทางเดียวกัน โดยพักความเห็นต่างไว้ข้างหนึ่ง หรือแทบจะเรียกได้ว่าไม่ใส่ใจในคู่ตรงข้ามของความคิดเห็นนั้นแม้แต่น้อย เห็นได้จากไม่มีแม้สักช่องเดียวที่ขอสัมภาษณ์พูดคุยกับชาวบ้านดีๆ สิ่งที่สือทั้งหมดร่วมใจกันนำเสนอมีเพียงภาพชาวบ้านที่โกรธเกรี้ยว ซึ่งอันที่จริงดูดีๆก็ไม่กี่คน ต้องถามว่าทำไมคนที่มาแบบไม่มีอารมณ์รุนแรงนั้นถึงได้ตามมาสนับสนุนคนผู้มีอารมณ์รุนแรงโดดเด่นไม่กี่คนนั้น ถามว่าหากไม่มีผูสนับสนุนที่มีอารมณ์ปกติเหล่านั้น คนผู้มีอารมณ์รุนแรงไม่กี่คนนั้นจะทำการสำเร็จหรือไม่ ทำไมไม่ถามว่าพวกเขาคิดอย่างไร อะไรผลักดันพวกเขาออกมาที่ตรงนั้น
การแสดงความคิดเห็นในทางเดียวกัน ก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นในทิศทางเดียวกัน
เคยมั้ยครับที่ตอนเรียนหนังสือ ในห้องหนึ่ง เกิดแอนตี้เพื่อนคนหนึ่งขึ้นมาเพราะว่ามันไม่ทำอย่างที่เราทำ หรือเราอยากให้ทำ หรือแค่มันทำตัวโดดเด่น เราก็เลยพากันเสียดสีว่ากล่าว ถึงขั้นไม่คบ ทั้งที่ในใจเราเองหรือเพื่อนบางคน ก็ยังอยากให้โอกาส หรือที่จริงเราก็ว่ามันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น แต่ต่อจากนั้นก็ไม่กล้าพูดแล้ว ไม่อยากเข้าใกล้ด้วยเดี๋ยวพลอยโดนรังเกียจไปด้วย อันนี้เป็นปรากฏการปกติทางสังคมครับ เรียกม้นได้ว่า ปรากฏการณ์ความคิดแบบเด็กประถมมัธยม (มหาลัยไม่ค่อยมีแล้ว)
แต่ไม่น่าเชื่อว่าไอ้ความคิดแบบไร้การสืบสาวที่มาที่ไปนี้ กลายมาเป็น ละครคลองสามวา ซึ่งเป็นดรามาโรงใหญ่ที่สุดของประเทศไปในขณะนี้
ถ้าเราเคยคิดว่าการกระทำให้อดีตตอนเป็นเด็กประถมไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อเพื่อนร่วมชั้นของเรา
ถ้าเช่นนั้นเราควรหยุดการกระทำในปัจจุบันที่ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อเพื่อนร่วมประเทศของเราจะดีกว่าหรือไม่ โปรดพิจารณา

วันจันทร์, ตุลาคม 10, 2554

คุณอัมมาร ดีแต่โม้ หรือว่า ดี แค่ ขี้โม้

เรื่องนี้อาจจะเก่าไปนิด แต่น่าคิดสักหน่อย
ดร.อัมมาร สยามวาลา กล่าวไว้ว่าอย่างไรเรื่องการจำนำข้าว คงไม่ต้องบอกใครๆก็ทราบวาทะอมตก ดีแต่โม้
อมตก จริงๆครับ ไม่ใช่อมตะ เพราะว่าตกแป้กเลยจริงๆ อาศัยการลอกเลียนคำกล่าวของ คุณผู้หญิงที่เป็นผู้นำผู้ใช้แรงงานชื่ออะไรจำไม่ได้ ขอโทษด้วย ท่านเป็นคนกล่าวคำว่า ดีแต่พูดเอาไว้ จนคนใช้กันทั้งบ้านทั้งเมือง
พอคุณอัมมารแกมาใช้บ้าง เปลี่ยนนิดๆหน่อยๆ ดัดแปลงน้อยๆ ดันไม่เกิดแฮะ

ทำไมไม่เกิด
หนึ่ง เพราะมันไม่ได้สอดคล้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง รัฐบาลนี้บริหารมาได้ไม่ถึงเดือนในตอนที่คุณอัมมารพูด แต่ก็เริ่มต้นเดินหน้าไปแล้วหลายอย่าง
สอง วาทะ ดีแต่พูด มันดังมากเกินไป การลอกเลียนซ้ำเป็น ดีแต่โม้ คล้ายกับการทำการตลาดเลียนแบบ ยากที่จะชนะผู้ที่เป็นผู้นำในตลาดมาก่อนได้
ยกตัวอย่างเช่น ...ยกตัวอย่างยากจริงๆ เพราะไอ้ที่เลียนแบบกันมันก็ตายจากความทรงจำไปหมดแล้ว ขนมก็แล้วกันครับ ขนม โรตีบอย เป็นชื่อแรกในตลาดและทำให้เราจดจำได้อยู่ ในขณะที่ โรตีมัม ตายจากไปในความทรงจำไปแล้ว ในขณะที่ มิสเตอร์บัน แม้โปรดักส์คล้ายคลึงกัน แต่ด้วยการตั้งชื่อใหม่และวางตำแหน่งตลาดใหม่ทำให้ยังคงอยู่ได้ แม้ว่าด้วยกาลเวลา ทำให้โรตีบอยจากไปแล้วด้วยองค์ประกอบอีกมากมายที่มีผลให้เป็นเช่นนั้น แต่ว่าเราก็ยังจดจำชื่อได้อยู่ว่า โรตีบอย เคยเป็นชื่อที่หอมหวลขนาดไหน
ดังนั้นถ้าหากเราทำการตลาดเลียนแบบ คงต้องทำใจไว้เลยว่าไม่มีวันที่จะก้าวล้ำเกินหน้าคนที่เป็นผู้นำในตลาดมาก่อน แถมมีโอกาสสูงมากที่โปรดักส์จะประสบความล้มเหลว
ถ้าคิดจะปล่อยโปรดักส์ที่โดดเด่นออกมา คงต้องค้นหาความเป็นตัวของตัวเองให้ได้ก่อนอย่างอื่น
สงสัยว่า ตอนที่แกเรียนเศรษฐศาสตร์คงเน้นการเงินอย่างเดียว เลยไม่เข้าใจการตลาด
ถ้าไม่เข้าใจการตลาดมวลชน แล้วจะเข้าใจเรื่องดีมานด์ซัพพลายได้ถ่องแท้อย่างไร

คุณอัมมารกังวลว่า หนึ่งจะเสียส่วนแบ่งการตลาดให้เวียดนาม สองจะทำการระบายสินค้าที่มีในสต็อกได้อย่างไร
ถ้าเรากังวลเรื่องส่วนแบ่งตลาดที่เสียมากเกินไป เกรงว่าเรากำลังให้ค่าสินค้าในลักษณะวัตถุเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มองที่คุณค่าของมัน แม้ว่าข้าวของเวียดนามจะเป็นข้าวที่มาแรงด้านราคา แต่คำถามว่าด้านคุณภาพในตลาดโลกมองกันอย่างไร มองเท่ากันหรือเปล่า หรือให้การประเมินด้านคุณภาพที่ต่างกัน สิ่งนี้จะทำให้ผู้บริโภคหยุดคิดและเลือกซื้อแตกต่างกัน แม้ว่าจะเป็นการกินข้าวเหมือนกันแต่การเสพสมรสชาดกลับแตกต่างกัน
และต้องไม่ลืมว่า ถ้าหากไทยดันราคาข้าวในตลาดโลกให้สูงขึ้น มีหรือที่ข้าวเวียดนามไม่ปรับราคา เคยเห็นน้ำมันราคาแพงขึ้นแล้วแกซโซฮอลไม่ปรับราคามั้ยครับ (มีบ้างแหละ แต่เดี๋ยวก็ปรับตามไม่นาน) เพราะดีมานด์ในตลาดมันมีอยู่ เมื่อของอย่างหนึ่งขึ้นอีกอย่างก็ขึ้นตาม ถามว่าเวียดนามพอใจมั้ยครับ ต้องพอใจแน่นอน และถ้าหากไทยกดราคาลงในอนาคตแต่คงความต่างเอาไว้ให้แพงกว่าในฐานะของที่ดีกว่า เวียดนามจะลดราคาพรวดไปที่เดิมเลยมั้ยครับ ไม่ครับ เพราะว่าเวียดนามได้คุ้นชินกับรายได้ที่ดีขึ้นไปแล้ว หากให้กดต่ำลงจะกระทบกับผู้เกี่ยวข้องหลายส่วน ถ้าเราไม่ถึงขนาดกดกันลงแบบตัดราคา เวียดนามจะไปปรับลงไปที่เก่า เอาง่ายๆคือ ถ้ารถเมล์ไม่ปรับราคาลงหลายบาท ต่อให้น้ำมันลดราคาวินมอไซต์ก็ไม่ลดราคา คล้ายๆกัน
ลองมองดูโมเดล ค่ายมือถือ ก็ได้ครับ เอไอเอส ยังคงราคาสูงไว้กว่าคู่แข่งในตลาด แต่ยังมีคนใช้และจำนวนคนใช้ก็เพิ่มขึ้น เพราะว่าคุณภาพดีกว่า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปตัดราคาให้เสียราคากันเองในตลาด
ปล่อยให้ทรูเน้นถูก และดีแทคเน้นต่อยรัวตัดกำลัง ไป เพราะมันไม่จำเป็น
คนใช้ก็ยังต้องใช้ ในบางพื้นที่ยิ่งไม่สิทธิ์เลือก ในบางธุรกิจยิ่งไม่ต้องการเสี่ยงกับคุณภาพเพราะความเสถียรแม่นยำเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าหากคิดอย่างคุณอัมมารป่านนี้ เอไอเอส เหลือนาทีละสิบสตางค์แข่งกับคู่แข่ง แล้วได้ฐานกว้างขึ้น ฆ่าคนอื่นตายหมด แต่กำไรลดลง ทำไปทำไม
โมเดลลดราคาลงเพื่อให้ได้กำไรมากขึ้นไม่ใช่ไม่จริง ไม่ใช่ไม่มีแต่มันน่าจะเข้ากับโมเดลที่มีผู้เล่นในตลาดนับร้อยนับพันมากกว่า ผู้เล่นในตลาด สองสามราย เสียของครับ
เหตุผลเดียวคือ ตลาดมีความต้องการมากกว่าสิ่งที่มีอยู่ เพราะคนในโลกนี้ต้องกินข้าว ไม่กินคุณจะไปกินหัวมันก็ได้นะ แต่มันไม่ดีเท่าข้าว เอามั้ยล่ะ
ประชากรกำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นความต้องการข้าวไปรับประทานไม่มีทางน้อยลง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปกังวลว่าสต็อคจะระบายไม่ได้แต่อย่างใด
กับคำถามที่ลึกว่า แล้วรัฐบาลต้้งใจจะทำอย่างไรกับสต็อคข้าวในสองปีข้างหน้า นี่เป็นคำถามที่เร็วเกินไปมาก และเป็นคำถามที่เกี่ยวพันกับกลยุทธ พัวพันกับสิ่งที่เรียกได้ว่า ซัพพลายเชนสเตรทตีจี
ถ้าถามว่าปีหน้าสยามวาลาจะนำผลิตภัณฑ์ตัวใหม่อะไรเข้าตลาด คุณอัมมารก็คงไม่ชอบ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมว่าอย่าเพิ่งถามดีกว่า
ลองคิดกันเล่นๆครับ คุณอัมมาร ผมว่าถ้าเขาเชิญคุณอัมมารไปวางแผนการตลาดข้าว แล้วพอออกจากห้องประชุมปุ๊บ นักข่าวถามคุณบอกหมดเลย คู่แข่งรู้หมด อย่างนี้ไม่เรียกว่าดีแต่โม้ หรอกครับ
แถวบ้านผมเขาเรียก ขี้โม้ ต่างหาก

วันเสาร์, กรกฎาคม 23, 2554

ปัญหาชวน(ปวด)หัว ของการยุบพรรคการเมือง

ว่ากันเรื่องเบาๆ

สมมตินะครับสมมติ สมมติว่าผมมีสิทธิยุบพรรค แล้วก็ยุบพรรคกันให้เกลี้ยงประเทศเลย
มันจะมีปัญหาเรื่องอะไรก่อน

จะมีปัญหาก็เรื่องชื่อพรรคนี่แหละ ลองยุบพรรคประชาธิปัตย์ดู
ชื่อใหม่เขาจะเป็น ประชาธิปัตย์พัฒนา หรือว่า ประชาธิปัตย์พัฒนาชาติเพื่อแผ่นดิน อันนี้มันจะยุ่งกันใหญ่

ประชาชนจำกันไม่หวาดไหว

ประชาธิปัตย์ยังไม่เท่าไหร่ ผมละสงสาร คุณบรรหาร ชื่อต่อไปจะยาวแค่ไหนละเนี่ย
ชาติไทยพัฒนาเพื่อไทยก้าวหน้า (เลยไม่รู้ว่าเป็นชื่อเชียร์พรรคอื่นหรือเปล่า ปัญหาก็คือ พอมีใครตั้งชื่ออะไรขึ้นมา แบบว่า แนวๆ เพื่อนั่นเพื่อนี่ พัฒนานั่นพัฒนานี่ ที่เหลือก็ชักจะคิดกันไม่ออก ก็ต้องมี เพื่อ บ้าง แผ่นดิน บ้าง พัฒนา บ้าง ตามๆกันไป)
ยิ่งถ้าไปรวมกับ พรรคชาติพัฒนาเก่าของคุณสุวัจน์ ที่ตอนนี้เป็นชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดีน โอ้โห ไม่จืด ประมาณว่า
ชาติไทยพัฒนาชาติเพื่อแผ่นดิน
หรือถ้าเกรงใจกัน พัฒนาชาติไทยเพื่อแผ่นดิน เอาพัฒนาขึ้นก่อนจะได้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน
แล้วตอนนี้กระแสพรรคขนาดกลางถึงเล็กเพื่อท้องถิ่น SMP ก็ต้องสื่อถึงภาคกลางด้วย
พัฒนาชาติไทยเพื่อแผ่นดินภาคกลาง
เอาให้ชัด
พัฒนาชาติไทยเพื่อแผ่นดินสุพรรณยันโคราช

ง่า...ยัน ไม่ค่อยเพราะนะ เอาเป็น

พัฒนาชาติไทยเพื่อแผ่นดินสุพรรณจรดโคราชพาดพิษณุโลก
เอาให้เคลียร์

ส่วนถ้าคุณชูวิทย์อยู่คนเดียวไม่ไหวแล้ว ไปรวมกับ พลังชล และ รักสันติ เข้า
พลังชูวิทย์เพื่อชลรักสันติ (คุณปุระชัยต้องมาทีหลังครับ ศักดิ์ศรีมันต่ำกว่าเขา แต่ทั้งพรรคนี้ก็จะชูคุณปุระชัย เป็นนายกนี่แหละ)
แซวกันเล่นนะ อย่าคิดมาก
ปัญหาเดียวคือถ้าเกิดเพื่อไทย ไปรวมกับ คุณบรรหาร คุณสุวัจน์ แล้วดันกลับไปจูบปากคุณเนวิน ใหม่ อะ อย่าเพ่อว่าเว่อร์ไป ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรนะครับในการเมือง

เพื่อไทยพัฒนาชาติไทยแด่แผ่นดินไทยด้วยความภาคภูมิใจบุรีรัมภ์เอฟซี อ๊อดๆ

เอาให้ กกต มึนไปเลย ตอนออกแบบบัตรเลือกตั้ง

งบบานเป็นสองเท่า สะใจ

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 21, 2554

ก็แค่คนไม่กี่คน

ก็แค่คนไม่กี่คน

แม้ว่าเรื่องมันจะจบไปแล้ว ที่แขวนไว้ก็ได้ปลดลงมาเรียบร้อยแล้ว

แต่มาลองทบทวนดูกันสักนิด

นาทีแรกที่ได้ยินเรื่องแขวนชื่อ คุณยิ่งลักษณ์ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร ยิ่งมาคู่กับคุณอภิสิทธิ์ ถึงจะรู้สึกว่าต่อให้โดนพร้อมกันความบาดเจ็บก็ไม่เท่ากัน ไม่แปลกใจด้วยที่คุณอภิสิทธิ์ออกมาพูดเชิงปกป้องว่าใครๆก็ทำกันทั้งนั้นไอ้การทำอาหารช่วงเลือกตั้ง เพราะเรื่องมันไม่หนักหนาจริงๆ มันไม่เท่าไหร่ แต่เท่าที่ทราบที่จะหนักกันจริงๆ คือแคมเปญโดนใจคนส่วนใหญ่ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ

พอได้ยินอย่างนั้น คำถามในใจจึงเกิดขึ้นมากมาย

เริ่มแรกสุด นี่มันเป็นระบบการปกครองแบบไหนกัน ที่ปล่อยให้คนไม่กี่คน หยุดประเทศไว้ได้ ผมไม่ได้กำลังพูดว่าใครผิดใครถูกนะครับ นั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า กกต.ท่านเป็นคนดีหรือไม่ดี เอาเป็นว่าไม่เกี่ยว เพราะว่าถ้าไม่ใช่เรื่องที่ขาวดำชัดเจนแล้วละก็ ดีไม่ดีมันอยู่ที่ใจเรา ถูกใจก็ว่าดี ไม่ถูกใจก็ว่าไม่ดี ธรรมดาโลก

แต่ว่าระบบนี้ให้โอกาส กกต มีอำนาจที่จะ แขวน ใครก็ได้ โดยที่ไม่ต้องมีความเห็นชอบจากใคร ไม่ต้องมีพยานโจทย์หรือพยานจำเลยให้วุ่นวาย ไม่ต้องเรียกใครสอบปากคำ แค่เห็นมากกว่าในจำนวน กกต ไม่กี่คน ย้ำ ไม่กี่คน ก็ทำได้แล้ว

จะให้ใบเหลืองใบแดง ในวาระอะไรก็ได้ ถ้าหากให้ไม่เหมือนกัน วินิจฉัยไม่เหมือนกันก็ได้ ก็มันแล้วแต่ว่าใน กกต เอง มีคนยกมือเห็นด้วยเกินจำนวนหรือเปล่า

มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นจริงๆหรือ

เรากำลังพูดถึง คนที่ถูกเลือกมาหลายสิบล้านคน กับคนที่ถูกแต่งตั้งมาจากคนไม่กี่คน ถ้าให้ชั่งน้ำหนัก มาตราวัด

1 กกต เท่ากับ 10 ล้านประชาชน โอ้โห มันโก้จริง

คำถามที่สอง

ถ้ายิ่งใหญ่อย่างนั้น มีอำนาจอย่างนั้น ทำไม ไม่ให้ใบแดงแต่แรกเล่า มารออะไรตอนนี้

ทำไมระบบนี้จึงมอบใบแดงให้กับคนที่เขาเลือกกันมาเสร็จแล้ว จะเลือกตั้งกันให้เสียงบประมาณทำไม ถ้าเขารู้ว่าใบแดงแน่แล้ว ก็ตัดสิทธิกันไปเลย ไหนๆก็ไหนๆเอาให้มันยิ่งใหญ่ให้ถึงที่สุด มันจะมีประโยชน์อะไรที่ไปรอจนจบกระบวนการ ไม่เข้าใจ

สมมติ ว่า นาย ก ถูกร้องเรียนว่า ซิ้อเสียง มีหลักฐาน เอ บี ซี มาสำแดงแต่แรก ก็ตัดสิทธิไปเลย ไม่ให้ซ่อมด้วย ไหนๆก็ใหญ่แล้ว เขาจะได้หาคนใหม่มาลงเลือกตั้งกันไป ไม่ต้องเสียงบประมาณสองรอบ

เพราะมีมากมายที่ ให้ใบแดงไปแล้ว ก็ไปลงวัดกันใหม่ แล้วจะให้ไปทำไม

เดี๋ยวก็ได้กลับมาอีก

จะมีอำนาจก็มีไปเลย ไม่มีก็ไม่มีไปเลย ให้มันรู้กันไปว่าจะยืนระบบนี้ไปได้นานแค่ไหน

นี่ไม่ได้เชียร์ให้มีนะครับ อย่าเข้าใจผิด แต่ถ้าจะหนุนกันให้ใหญ่จริงๆก็ให้มันเต็มที่ไปเลย

เวลาล้างระบบกันจะได้ ขุดให้ถึงราก ถอนให้ถึงโคน

คำถามที่สาม

กกต มีเพื่ออะไร

เพื่อการเลือกตั้งอันบริสุทธิ์ยุติธรรม ใช่หรือไม่ ขอบเขตอำนาจ มีแค่ไหน (จะเป็นคำถามที่สี่อยู่แล้ว)

แล้วแคมเปญ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ นี่มันเรื่องอะไร

ทุจริตหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ แล้ว กกต ไปยุ่งอะไร

มันน่าจะเป็นเรื่องของศาลไม่ใช่หรือ แล้ว กกต ไปแขวน เขาไว้ด้วยเรื่องนี้ทำไม

แขวนเรื่องผัดหมี่ยังเข้าท่ากว่า ผมว่า

พี่ชาย น้องชาย มายุ่งเกี่ยวกับการหาเสียง มันทุจริตตรงไหน หรือว่า กกต มีสิทธิ ยุบพรรค ไปแล้ว นั่นมันไม่ใช่เรื่องของศาลรัฐธรรมนูญหรือครับ

อย่างนี้ ถ้าจะโดนกันหมดทั้งซีกที่ว่าจะเป็นรัฐบาล เพราะมีคนที่โดนตัดสิทธิทางการเมือง มายุ่งกันทั้งนั้น

และถ้าเป็นเรื่องของศาลจริง ผมว่า ประชาธิปัตย์ก็จะเข้าข่ายด้วยนะ เพราะคุณอภิสิทธิ์กับคุณเนวินก็ติดต่อกันอยู่ ถ้าบอกว่าไม่ชัดละก็ เอาเป็นว่าชัดๆ ก็คุณสุเทพ น่ะแน่แน่

อย่าบอกว่าลาออกแล้ว มันไม่เกี่ยว จำได้มั้ยครับว่าตอนพรรคอื่นๆเขาก็โดนย้อนหลังกัน

เอากันให้หมดบ้านเมืองไปเลย ว่ากันใหม่หมด

ว่ามาทั้งหมดนี่ คือ ยังไม่เห็นเลยว่า กกต ไปเกี่ยวกับเขาตรงไหน

สรุปว่า ผมจะไปหาอ่าน หน้าที่ กกต (ไม่รู้จะมีสิบอย่าง เหมือน เด็กเอ๋ยเด็กดี หรือเปล่า)

แล้วก็ กฏหมายว่าด้วย การตัดสิทธิทางการเมือง เอาให้ละเอียดสักที จะได้หายข้องใจ

วันจันทร์, กรกฎาคม 04, 2554

เพื่อไทยชนะ = ...โน่น นี่ นั่น ...(มันไม่แน่)

แล้ววันเลือกตั้งก็ผ่านพ้น ประเทศไทยถูกคาดหวังว่าต้องเดินหน้าต่อ
แต่ทว่าสัญญาณอันตรายยังไม่ผ่านพ้นไป ยังต้องจับตาการฟอร์มทีมรัฐบาล
จับทำไม ทำอะไรได้ เราทำอะไรไม่ได้ อันนี้ประชาชนต้องรับความจริง ความจริงที่ว่าวันที่เรามีสิทธิมีแค่วันเดียว วันต่อมาเป็นวันของเขาแล้ว เพราะสิทธิที่เรามีเราได้มอบให้เขาไป
แต่เราจับตาเพื่อดูทางหนีทีไล่ของตัวเอง
จึงต้องรอดู ไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่ก็ตาม แต่นี่คือทิศทางที่เกิด
พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่มีคนชอบมากกว่า บางคนไม่ชอบแต่ก็เลือก
ทำไมหรือ
เพราะคำตอบง่ายๆ ไม่ชอบอีกฝ่ายมากกว่า
ดังนั้น ขอให้ทุกฝ่ายระลึกถึงความต้องการนี้ในใจ เสียงที่ให้ไปไม่ได้บอกว่าเพื่อไทยทำอะไรก็ได้ แต่เสียงที่ได้ไปมีความหมายอันแน่นอนว่า ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ
ขอให้ตระหนักไว้ให้ดี ทั้งสองฝ่าย
เพื่อไทยก็ตกสวรรค์ได้ถ้าไม่เข้าใจ เหมือนที่ประชาธิปัตย์ตกสวรรค์มาแล้วเพราะไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจว่าการเมืองภาคประชาชน ซับซ้อนเกินกว่าตรรกะเดิมๆสามารถนำมาใช้ได้
การสื่อสารระหว่างบุคคลมันกว้างไกลจนคุณไม่สามารถกะเกณฑ์นั่นนี่ได้อีกต่อไป
ดังนั้นหากเพื่อไทยอ้างความเห็นชอบหรือที่ชอบเรียกว่าฉันทามติ ในความเห็นส่วนตัวผมแล้ว ฉันทามติไม่มีจริง เพราะความซับซ้อนของสังคมและปัจเจกบุคคลมันไกลเกินกว่าทำความเข้าใจได้ถ่องแท้ สิ่งที่เป็นตัวแทนที่แท้จริงในวันนี้ให้พอจับต้องได้เราควรเรียกมันว่า สถิติ จะใกล้เคียงกว่า
ยกตัวอย่างเช่น คนที่กาให้พรรคเพื่อไทย เพราะสาเหตุการล้อมปราบอาจมีเป็นจำนวนมาก แต่คนกลุ่มเดียวกันนี้อาจไม่เห็นด้วยกับการประนีประนอมกับเขมร แต่ก็ยังยินดียกคะแนนให้เพื่อไทยมากกว่า เพราะระหว่างการยอมรับให้เกิดการยอมความกับเขมรกับการต้องทนเห็นคนมากมายตายเปล่า สู้ยอมให้ญาติดีหรือเป็นเบี้ยล่างทางการเมืองระหว่างประเทศยังดีกว่า อย่างน้อยการค้าชายแดนจะได้ไม่มีปัญหา
ดังนั้นระหว่างบุคคลต่อบุคคลมีเหตุผลในการยอมรับแตกต่างกัน เราจึงไม่สามารถทึกทักเอาได้ว่า
คนเลือกเพื่อไทยแล้ว = คนอยากให้คุณทักษิณกลับมา
คนเลือกเพื่อไทยแล้ว = คนอยากให้คุณทักษิณได้เงินคืน
คนเลือกเพื่อไทยแล้ว = คนอยากได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็น 300 บาท (ในขณะที่ข้าวจะมีราคาจานละ 45 บาท)
คนเลือกเพื่อไทยแล้ว = คนยอมรับว่ารูปแบบการชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นสิ่งถูก
สมการเหล่านี้ไม่สามารถใช้ได้จริง เพราะแต่ละคนมีมุมมองที่คล้ายคลึงแต่แตกต่าง
ลองมาดูสมการนี้บ้าง
คนเลือกเพื่อไทยแล้ว =คนไม่อยากได้อภิสิทธิ์เป็นนายก
คนเลือกเพื่อไทยแล้ว =คนไม่เห็นว่ารัฐบาลที่แล้วทำดีแล้ว
คนเลือกเพื่อไทยแล้ว =คนไม่เห็นว่ารูปแบบการหาเสียงของประชาธิปัตย์เป็นเรื่องที่น่าคล้อยตามหรือสมควรเห็นดีเห็นงามด้วย
สมการข้างหลังจะเป็นจริงมากกว่าเพราะไม่ต้องใช้เวลาหาเหตุผลรับรองหลายชั้น
และแน่นอนว่าถ้าจะบอกว่า
คนเลือกเพื่อไทยแล้ว =คนไม่รักทหาร ไม่เห็นคุณค่าของทหาร
ย่อมเป็นสมการที่คลุมเครือไม่ถูกต้อง
แต่ถ้าจะบอกว่า
คนเลือกเพื่อไทยแล้ว =คนไม่สนใจสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ชี้นำก่อนการเลือกตั้ง
อันนี้จึงเป็นความจริงมากกว่ามาก

ดังนั้นต้องแปลดีๆนะครับ อย่าเหมารวม สองโหลบาทเดียว

แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผมว่า เรื่องนี้เพื่อไทยเข้าใจ และใช้มันอยู่ ในขณะที่ประชาธิปัติย์ไม่เคยเข้าใจ
ชอบคิดเองเออเอง ถึงได้แพ้

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 30, 2554

เลือกตั้ง ขอใช้สิทธิ...เถอะนะ




เลือกตั้งเป็นความหวังหนึ่งเดียวของประชาชน
วันเลือกตั้งเป็นวันเดียวที่คนทุกคนยากดีมีจนมีคุณค่าในชีวิตเท่ากัน
นับจากเกิดมนุษย์ขึ้นมาในโลก ไม่ว่าจะมีการปกครองรูปแบบใดก็ตาม ไม่เคยมีวิธีการปกครองแบบใดที่ให้โอกาสมนุษย์ที่จะมีสิทธิเท่าเทียมกันยิ่งไปกว่าประชาธิปไตย
แต่ขอกั๋กไว้นิดว่า เฉพาะวันเลือกตั้งเท่านั้น
ดังนั้นใครไม่ไปใช้สิทธิ น่าเสียดาย เพราะมันเป็นวันเดียวที่คุณจะได้มีโอกาสอันหาได้ยากยิ่งในชีวิตประจำวันที่ไม่สามารถหาความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงได้

ลองคิดดู มีอะไรที่คุณได้อย่างเท่าเทียมกันแท้จริงมีบ้างหรือไม่
มีจริงหรือ ไม่ต้องอะไรมากแค่สิทธิที่จะคิดต่างยังไม่มี

ดังนั้นการหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งเป็นความเท่าเที่ยมที่มีเพียงหนึ่งเดียว
เขาซื้อเสียง ถึงมันจะไม่ดี คุณมีสิทธิขาย
เขาโกหก ถึงมันจะโง่เขลา คุณก็มีสิทธิเชื่อ
เขามีนโยบายประชานิยม ถึงมันจะพังไปเป็นแถบ คุณก็มีสิทธิชอบ
เขาบ้าอำนาจ ถึงมันจะอันตราย แต่คุณก็สิทธิรัก
เขาเป็นหุ่นเชิด ถึงมันจะหน้ามืดตามัว แต่คุณก็มีสิทธิเลือก

หนึ่งเสียงนี้ เป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนผู้เป็นประชาชนคนหนึ่ง
ผมจึงขอประณามมันทุกรูปนาม ที่คิดแย่งชิงสิทธินี้ไป
ปฏิวัติทีหลังยังไม่ว่ากัน ยังนับว่าเราได้ใช้สิทธิไปแล้ว
แต่ถ้าเปลี่ยนบัตร เปลี่ยนหีบ มันปวดใจ
เกิดเป็นคนมาหนหนึ่ง เลือกตั้งได้ไม่กี่ครั้ง จะไม่ทำกันขนาดนั้นได้หรือเปล่า ขอได้มั้ย