เมืองไทยไม่น่าเลย!: ละครโรงใหญ่ที่คลองสามวา

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 03, 2554

ละครโรงใหญ่ที่คลองสามวา

ขัดใจคุณชายสุขุมพันธฺุ์อยู่บ้าง แต่ท่านผู้ว่าเป็นทางของท่านที่จะแสดงการทำงานในแบบของท่านไป แต่ที่ขัดใจมากกว่าก็คือสื่อของไทย
นับตั้งแต่มีข่าวเรื่องชาวบ้านคลองสามวาพากันไป เรียกว่ายกพวกกันไปกดดันการเปิดประตูน้ำ กระทั่งว่าถ้าไม่มีประตูก็เลยสร้างประตูขึ้นเอง ด้วยการทำลายหูประตูน้ำ ก็เพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าเขาเรียกข้างๆประตูว่าหูประตู
ปํญหาคือแอ็คชั่นตามหลังที่ท่านผู้ว่าสั่งการใหญ่ให้ตำรวจนำกำลังคุมเข้มซ่อมหูประตูน้ำ ซึ่งข่าวล่าสุดคือทุกอย่างเป็นไปด้วยดีไม่มีผู้ต่อต้าน แต่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน รองผู้ว่าให้สัมภาษณ์สื่อ ว่า 50 เขตมีสิทธิ์จมอยู่ใต้น้ำเพราะคลองสามวา
จริงหรือเท็จยกไว้ก่อน
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ถูกนำมาขยายใหญ่โตจากสื่อจนกระทั่งแทบกลายเป็นการยุยงให้คนที่ได้รับผลกระทบ เกลียดชังคนคลองสามวา ขอบอกก่อนว่าผู้เขียนเป็นผู้ได้รับผลกระทบไม่ใช่คนคลองสามวา แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ การออกข่าวในลักษณะที่ว่า ชาวบ้านคลองสามวาเป็นคนไม่รับรู้สถานการณ์ไม่เข้าใจอะไรเลย จนกระทั่งว่าทำไมเห็นแก่ตัวขนาดนี้ นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
ผู้พุูดได้พูดไปแล้ว แต่การที่สื่อช่วยขยายความโดยเน้นความเห็นด้านเดียวเป็นเรื่องอันเหมาะสมหรือไม่
หากมีความรุนแรงสืบเนื่่องเรื่อยไปเนื่องจากคนมีความเห็นเป็นคู่ตรงข้ามกันในอีกหลายๆที่ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ
อย่าลืมว่ารายการข่าวในปัจจุบันกลายสภาพจากการรายงานข้อเท็จจริง ไปสู่การเป็นทีวีโชว์ในรูปแบบหนึ่ง เราไม่อาจโทษว่าคุณสรยุทธที่เป็นผู้จุดประกาย การเล่าข่าว เพราะหากไม่ใช่คุณสรยุทธสักวันก็ต้องมีคนลุกขึ้นมาทำ มันเป็นกระแสของโลกที่อย่างไรเสียมันก็ต้องเกิด เมื่อผู้คนหิวข้าวมีคนมาเสริฟ เมื่อผู้คนหิวข่าวก็มีคนมาเสริฟ ฉันใดฉันนั้น
แต่เมื่อมันไม่ได้มีเพียงข้อเท็จจริง เปรียบได้กับความแตกต่างระหว่างการขายข้าวเปล่าหรือข้าวสาร กลายเป็นการขายข้าวผัดอเมริกัน มันมีการปรุงแต่งเสริมเติมให้เอร็ดอร่อยถูกปากคนกิน ทำให้คนไม่สามารถมองเห็นข้าวกับไข่ดาวและไก่ทอดแยกกันอยู่ได้ เพียงมองเห็นมันเป็นข้าวผัดอเมริกันจานนั้น อร่อยจนลืมไปว่่า มันคือข้าวกับไข่ดาวและไก่ทอด
ข้อเท็จจริงถูกคลุกเคล้ากับความเห็น จนเป็นสมดังกับคำว่า "เรื่องเล่าเช้านี้" ตามชื่อรายการของคุณสรยุทธ ซึ่งผมว่ามันถูกต้องมากๆ เพราะสิ่งที่เราดูอยู่นั้น ไม่ใช่ไม่ดี ไม่มีข้ออคติใดๆกับคุณสรยุทธ ชอบดูเสียด้วยซ้ำ แต่ว่ามันก็เป็นเพียงเรื่องเล่าอย่างที่คุณสรยุทธจั่วหัวเอาไว้ มันไม่ใช่ข่าว
ทีนี้ ถ้าหลายๆคนหลายๆรายการเฝ้าแสดงข้อคิดเห็นไปในทางเดียวกัน โดยพักความเห็นต่างไว้ข้างหนึ่ง หรือแทบจะเรียกได้ว่าไม่ใส่ใจในคู่ตรงข้ามของความคิดเห็นนั้นแม้แต่น้อย เห็นได้จากไม่มีแม้สักช่องเดียวที่ขอสัมภาษณ์พูดคุยกับชาวบ้านดีๆ สิ่งที่สือทั้งหมดร่วมใจกันนำเสนอมีเพียงภาพชาวบ้านที่โกรธเกรี้ยว ซึ่งอันที่จริงดูดีๆก็ไม่กี่คน ต้องถามว่าทำไมคนที่มาแบบไม่มีอารมณ์รุนแรงนั้นถึงได้ตามมาสนับสนุนคนผู้มีอารมณ์รุนแรงโดดเด่นไม่กี่คนนั้น ถามว่าหากไม่มีผูสนับสนุนที่มีอารมณ์ปกติเหล่านั้น คนผู้มีอารมณ์รุนแรงไม่กี่คนนั้นจะทำการสำเร็จหรือไม่ ทำไมไม่ถามว่าพวกเขาคิดอย่างไร อะไรผลักดันพวกเขาออกมาที่ตรงนั้น
การแสดงความคิดเห็นในทางเดียวกัน ก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นในทิศทางเดียวกัน
เคยมั้ยครับที่ตอนเรียนหนังสือ ในห้องหนึ่ง เกิดแอนตี้เพื่อนคนหนึ่งขึ้นมาเพราะว่ามันไม่ทำอย่างที่เราทำ หรือเราอยากให้ทำ หรือแค่มันทำตัวโดดเด่น เราก็เลยพากันเสียดสีว่ากล่าว ถึงขั้นไม่คบ ทั้งที่ในใจเราเองหรือเพื่อนบางคน ก็ยังอยากให้โอกาส หรือที่จริงเราก็ว่ามันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น แต่ต่อจากนั้นก็ไม่กล้าพูดแล้ว ไม่อยากเข้าใกล้ด้วยเดี๋ยวพลอยโดนรังเกียจไปด้วย อันนี้เป็นปรากฏการปกติทางสังคมครับ เรียกม้นได้ว่า ปรากฏการณ์ความคิดแบบเด็กประถมมัธยม (มหาลัยไม่ค่อยมีแล้ว)
แต่ไม่น่าเชื่อว่าไอ้ความคิดแบบไร้การสืบสาวที่มาที่ไปนี้ กลายมาเป็น ละครคลองสามวา ซึ่งเป็นดรามาโรงใหญ่ที่สุดของประเทศไปในขณะนี้
ถ้าเราเคยคิดว่าการกระทำให้อดีตตอนเป็นเด็กประถมไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อเพื่อนร่วมชั้นของเรา
ถ้าเช่นนั้นเราควรหยุดการกระทำในปัจจุบันที่ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อเพื่อนร่วมประเทศของเราจะดีกว่าหรือไม่ โปรดพิจารณา

ไม่มีความคิดเห็น: