เมืองไทยไม่น่าเลย!: ตุลาคม 2005

วันเสาร์, ตุลาคม 29, 2548

รถไฟ+สี่แยก+รถยนต์=หน่ายใจ

วันนี้ผมต้องผ่านเส้นทางนั้นอีกแล้วครับ เส้นทางที่พาให้รู้สีกหงุดหงิดเวียนหัวมันทุกทีที่ต้องผ่าน ไม่ผ่านก็ไม่ได้เหมือนเรียนวิชาบังคับ ต่อให้คุณจะเลี่ยงด้วยการเบี่ยงเส้นทางไปอีกหน่อย คุณก็ยังหนีมันไม่พ้นอยู่ดีใครมีเส้นทางอย่างนี้บ้างครับต้องขับรถ หรือ นั่งรถเมล์ ข้ามแยกที่ประจวบพอดีกับทางรถไฟ ใครไม่เคยไม่ซื้งแน่ ก็ทางรถไฟบ้านเรามันถูกออกแบบให้มีเส้นขนานคู่กับทางรถยนต์ พอตัดผ่านทางอีกเส้น มันไม่สนุกอย่างในเพลงที่วงพลอยร้องหรอกครับ (ร้องว่า"เส้นตรงเส้นหนึ่งตั้งอยู่โบนเส้นตรงอีกเส้นหนึ่ง เอามุมประชิดตรงกัน เท่ากับสองมุมฉาก")อ๊ะ โทดที เลยรู้กันหมดเลยว่าแก่
แล้วเคยมั้ยครับ ที่คุณขับมาชิวๆ แล้วบังเอิ้น-บังเอิญเผลอขับมาตรงแยกเจ้าประจำเข้าจนได้ สังเกตมั้ยครับว่า70-80%โดยประมาณเก็บสถิติโดยการนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าของผม คุณจะต้องติดไฟแดง! ฮ้า!มันแปลกมั้ยละครับ แล้ว50-60%ของการติดหลังจากนั้น รถไฟมันก็จะผ่านมาพอดิบพอดีเหมือนเขียนบทไว้แล้วเลย และถ้าคุณโชคร้ายไม่ทันขับผ่าน วิ้ง วิ้ง ไม้กั้นที่เคลื่อนลงมา คุณจะต้องนั่งทำตาปริบๆดูรางที่ว่างเปล่าจนกระทั่งรถไฟก็จะวิ่งเอื่อยๆ ผ่านหน้าคุณไปแบบชิวๆ เจ็บใจที่สุดก็ตอนที่รอนี่แหละ สัญญาณไฟจราจรจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวโดยอัตโนมัติ จากนั้นผ่านไปไม่กี่นาที จังหวะที่บั้นท้ายของขบวนท้ายสุดกำลังนวยนาดปาดหน้าคุณไป ไฟเขียวจะกระพริบ ปริ๊บๆ เหมือนจะเย้ยคุณกลายๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง เจ็บจี๊ดเลยครับ ใครเคยผ่านปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแบบนี้มาก่อนต้องเข้าใจแน่ๆเอ้า!ใครเคยโดนมาขอให้ยกมือขี้น!
ผมละหงุดหงิดอย่างหนึ่งเวลาที่มีคนใหญ่คนโตทั่นนึกอยากจะแก้ปัญหาจราจรนะ นึกทีต้องเป็นเมกะโปรเจ็กชนิดที่ต้องว่ากันเป็นพันเป็นหมื่นล้านชนิดที่ว่าคนไทยทำไม่เป็นกันเลย เริ่มจากบางนาไปจรดบางบัวทองก็ว่ากันไป ทำทีต้องเอาบริษัทเมืองนอกเข้ามาซะงั้น รึถ้าปล่อยให้คนไทยทำมันก็ต้องมีประมาณว่าข่าวรายวันกินนอกกินในให้ประชาชนผู้เสียภาษีอย่างเราๆนอนผวาตาไม่หลับแต่ไม่มีครับไม่มีใครที่จะนึกถึงว่าทำยังไงให้ไอ้ปัญหาหน้าประตูบ้านเนี่ยมันบรรเทาเบาบาง ก็ปล่อยให้ตำรวจจราจรตาดำๆแก้กันเอาเองสิครับ วันไหนท่านมีภารกิจไม่ประจำตรงตู้สัญญานชาวบ้านก็ต้องตามมีตามเกิดไปเป็นเรื่องธรรมดาซะแล้วก็เอาสิครับพอคิดทีก็เอาทางลงทางด่วนมาลงตรงทางรถไฟซะงั้น(ที่ไหนคงไม่ต้องบอก) ติดกันเข้าไปยิ่งกว่าเดิมอีก
อย่าว่าเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเลยนะครับทั่น ผมก็ไม่ได้ไปนอกไปนาบ่อยกะเขาหรอก แต่เท่าที่สังเกตดูอันบ้านเมืองที่เจริญแล้ว(ทางวัตถุ)อะนะครับ เวลาที่มีทางรถไฟแล้วมันต้องตัดถนนผ่าน เขาไม่ได้ปะกันด้วยระดับถนนเดียวกันอย่างเรานะครับ เขาทำอุโมงค์ลอดผ่านข้างใต้ทางรถไฟ ไม่งั้นก็เอารถไฟลอดก็ได้ เพื่อประโยชน์อนันต์จริงๆครับ รถก็ไม่ติด รถไฟก็ไม่ต้องชะลอ แฮปปี้ดีพร้อมก้นทุกฝ่าย อย่างน้อยไม่ต้องกังวลว่าช่วงที่ติดไฟแดงคาอยู่บนทางรถไฟเนี่ยกูจะขึ้นหน้าหนึ่งมั้ยน้อ
แต่ไม่ครับไม่ ผมไม่ได้คาดหวังอะไรขนาดนั้น แต่เพียงแค่ทั่นผู้หลักผู้ใหญ่จะปันเจียดเศษเงินจากงบหมื่นล้านนะครับ ขอสักสี่ซ้าห้าร้อย มาจ้างคนไทยหัวกะทิช่วยกันศึกษาแล้วเขียนเป็นซอฟท์แวร์ควบคุมสัญญาณไฟจราจรให้มันสัมพันธ์กันเวลาที่มีรถไฟวิ่งผ่านก็ได้ ถ้ากลัวว่ามันจะแพงไปก็อาจจะอนุญาติให้บริษัทนั้นทำประชาสัมพันธ์บนไม้กั้นทุกอันก็ได้ ผมคิดว่าเขาจะชอบนา ดีไม่ดีไม่คิดตังด้วย เอ้า!รึถ้ากลัวมันจะไม่ซีเคียวริตี้พอทั่นก็ปล่อยให้เป็นช่วงทดลองใช้สักปีนึง ทำรีพอร์ทกัน4เดือนหน พอใช้ได้ก็ปล่อยทำงานจริง แค่เนี้ย!มันจะได้แฮปปี้กันทุกฝ่าย ใครทำได้ขอให้เจริญๆเถอะครับ
เขียนๆมาก็นึกถึงเจ้ากระทรวงวิทยาศาสตร์ขึ้นมาได้ ประมาณว่า ยืนเอียงนิดๆ ยิ้มหน่อยๆ "วิทยาศาสตร์มีคำตอบ" ช่วยเอาไปลองทำเป็นคำตอบทีเถอะ อาจจะไอเดียดีกว่าผมก็ได้ ผมจะกาลงคะแนนให้ทั้งแผ่นเล้ย! (ก็บัตรเสียน่ะซิ :)

วันพุธ, ตุลาคม 26, 2548

เมืองไทยไม่น่าเลย!


ผมตั้งblog เป็น THAICOULDBE และให้ความหมายในภาษาไทยว่า เมืองไทยไม่น่าเลยถ้าจะว่าภาษาอังกฤษเป็นในทางบวก แล้วภาษาไทย เป็นในทางลบ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะแปลกอะไร เพราะจริงๆก็เป็นได้ทั้ง 2 อย่างทั้งบวกและลบ เพราะในแง่มุมที่เป็นบวก มันก็มีลบ และในมุมที่ลบ มันก็บ่อยครั้งที่จะมีด้านที่เป็นบวกซ่อนอยู่ผมแค่หวังว่า 1 เสียงที่พูดเบาๆอยู่ บ่นโน่น ค่อนแคะนี่ มันจะดังขี้นบ้างผ่านช่องทางที่เสรี