เมืองไทยไม่น่าเลย!: มีนาคม 2006

วันอาทิตย์, มีนาคม 05, 2549

เรื่องที่ผิดหวัง ตอนที่2

ว่ากันต่อเรื่องที่ผิดหวัง
ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ ที่ผมผิดหวัง เพราะเข้าใจ อย่างที่บอก
ไม่ใช่คุณ พลตรีสนั่น เพราะผมไม่ได้หวัง
แต่ที่ผิดหวังอย่างจัง คือ ทั่นบรรหาร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่21ของไทย
สองคนแรกไม่เคยอยู่บนจุดสูงสุดเหมือนอย่าง คุณบรรหาร ย่อมไม่เข้าใจได้ว่าการที่ถูกคนจำนวนมากเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่นั้น ต้องแบกอะไรไว้บนบ่าบ้าง การลาออกสำหรับทักษิณ จะหมายถึงการยอมรับ ในหลายๆอย่าง
อาจหมายถึงการรับผิด สำหรับคนบางกลุ่ม
และอาจรวมถึง การยอมรับ ว่าการบอยคอตเป็นเรื่องที่กระทำได้ และมีผล
แต่ผมคิดว่าคุณบรรหารน่าจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี

ก่อนจะวิพากษ์ใดอื่น ขอกราบด้วยความเคารพเลยครับว่า ส่วนตัวผมเป็นคนหนึ่งที่นิยม ยกย่อง และชื่นชมการทำงานของคุณบรรหาร มากๆ เผลอๆถ้าวัดกันเป็นมารตได้ จะมากกว่า คุณทักษิณและคุณชวน เสียอีก ใครจะกล่าวหาว่าผมดูหมิ่น ท่านองคมนตรีก็ยอม ผมนิยมท่านบรรหารมากกว่า
ครับ ดังนั้นแล้วถ้าหากจะระคายเคืองไปบ้าง ขอเรียนว่า ด้วยความรักครับถึงได้ติติงกัน

เอาละว่า เราต้องยอมรับว่า หนทางของพรรคชาติไทย ค่อนข้างจะตีบตัน
ท่านบรรหารจะมองไปทางไหนก็ขยับตัวได้ยาก ใครอื่นอาจจะมองว่ากระสุนใกล้หมด อะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการขับเคลื่อนองค์กรใหญ่ๆแบบพรรคชาติไทยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เมื่อปีที่แล้ว ภาพของพรรคชาติไทยยังสนิทแนบแน่นกับพรรคไทยรักไทยอยู่ดีๆ ก็ต้องมีอันพลิกผัน
การย้ายฝั่งมาอยู่ร่วมกับทางประชาธิปัตย์ ก็เป็นไปแบบฝืนๆ เหมือนสูตรอาหารที่ยังไม่เข้าเนื้อกันดี คุณอภิสิทธิ์ว่ายังไงมา แกก็จะว่าไปแกนๆกลางๆไว้ก่อน จนถูกหลายคนประเมินว่าเป็นพรรครอโอกาสเสียบ
จะอยากเสียบหรือไม่อยากเสียบ ก็ไม่ได้ว่าอะไรกันหรอกครับ จุดมุ่งหมายแต่ละคนไม่เหมือนกัน แรงขับเคลื่อนก็แตกต่างเราไม่อาจประนามอะไรกันได้ และไม่ควรด้วย

แต่ปัญหามันอยู่ที่การเลือกตั้งวันที่ 2เมษานี้ มันถือว่าเร็วเกินไปครับ อย่างน้อยก็สำหรับ คุณบรรหาร
ถ้าไม่ร่วมกับฝ่ายค้าน พรรคชาติไทยเองก็ต้องกังวลว่าจะถูกลดขนาด เหมือนอย่างอดีตที่ผ่านมาที่ปรากฏกับบางพรรคการเมือง
อาจจะรวมถึงกระแส ขำขู่ที่ว่า ถ้าคุณบรรหาร ไม่ร่วมลงสัตยาบัน บอยคอต กับฝ่ายค้าน จะมีคนกล่าวหาทันที ว่าบรรหารรับเงินทักษิณ 500 ล้านบาท จริงไม่จริงไม่รู้
ผมไม่รู้ว่า ถ้าคุณบรรหาร อ่านบทความแล้วอาจจะบอกว่าผมเป็นเด็กวานซืน ไม่รู้อะไรแล้วพูดมาก
ผมก็ไม่เถียง เบื้องหลังของรัฐบาลทักษิณที่คุณบรรหารรู้ อาจจะมากกว่าที่ผมได้ยินเยอะ และอาจจะเชื่อถือได้มากกว่า ตลอดจนการมองการณ์ไกล คุณบรรหาร เองอาจจะเห็นว่า การปล่อยรัฐบาลทักษิณบริหารประเทศ อาจเป็นอันตรายจนเกินกว่าจะเยียวยาได้ในอนาคต
ก็เป็นได้
และผมก็ยอมรับว่าไม่แตกฉาน และไม่รู้จริง ยิ่งในยุคที่ข่าวสารสะพัดแพร่อย่างรวดเร็วอย่างนี้
อันใดจริง อันใดเท็จ ยากนักที่จะรู้ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ คือ เราต้องมีสติ แจ่มใส เพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา
ถ้าวันนี้ ข้อมูล ไหนที่ได้มาแล้วผมรู้ไม่จริง หรือไม่รู้จริงๆ ไม่ว่าแหล่งข่าวเป็นอะไร ผมก็จะถือว่าเป็น"ข้อมูล"(information) ก่อนเท่านั้น
ส่วนสิ่งที่เป็นจริงและประจักษ์แจ้ง(fact) นั้นผมถึงจะมองมันให้ลึกซึ้งขึ้น อย่างระมัดระวัง
เพราะ ความจริง นั้นอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากหลายๆสาเหตุก็เป็นได้ และความจริงที่ผมเห็นก็อาจมีเบื้องหลังของความจริงอีกทอดหนึ่ง

สิ่งที่เป็นจริง ที่ผมเห็นคือ ไม่ว่าคุณบรรหารตัวตนแท้ๆ เป็นคนดีหรือไม่ แต่ที่รู้คือ คุณบรรหาร ช่วงดำรงตำแหน่ง เป็นหนึ่งในนายกรัฐมนตรี ที่ทำงานหนักที่สุด ความสามารถของคุณบรรหารนั้น ไม่เป็นที่ประจักษ์มากนัก แต่เรื่องของการทำงานหนักและความตั้งใจได้ถูกยืนยันแล้วว่าเต็มร้อย
หลายอย่างที่คุณบรรหารทำ เป็นคุณูปการแก่ประเทศชาติทีเดียว เช่นเรื่องปฏิรูปการเมือง เป็นต้น เป็นตัวอย่างของการพูดจริงทำจริงของคุณบรรหาร
แต่ ณ ห้วงเวลาตกต่ำของคุณบรรหาร ผมจำได้ไม่เคยลืม ว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้ กระทำย่ำยีอย่างไรไว้บ้างในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นคำรบสอง เมื่อครั้งนายกรัฐมนตรีชื่อ บรรหาร ศิลปอาชา
เผอิญว่า ผมติดตามการถ่ายทอดสด เกือบตลอดเวลาทั้ง3วัน เว้นไปบ้างบางขณะที่ต้องทำธุระส่วนตัวบ้าง ถือว่าเป็นการติดตามการเมืองที่ตั้งอกตั้งใจมากๆครั้งหนึ่ง
พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มุ่งประเด็นการบริหารงานใดๆเลย ส่วนใหญ่มุ่งไปที่การโจมตีคุณบรรหารเป็นหลัก ทั้งเรื่องการศึกษาและชาติกำเนิด แม้กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายยังไม่หยุดพัก ที่จะโยงเอาความไม่จริงเรื่องการเกิดของคุณบรรหารให้ดูน่าเชื่อถือ ทุกวันนี้ผมย้อนคิดกลับไปยังรู้สึกเสียใจ ที่การเมืองไทยมีการดำเนินการทางการเมืองที่ต่ำมากจนน่าใจหาย ไม่นับว่าเป็นเรื่องส่วนตัวแล้วเท่านั้น ยังเอาเรื่องไม่จริงมาทำให้เป็นเรื่องจริง
ที่น่าสลดอดสูใจกว่านั้น ผมเดาว่าหมากสุดท้ายที่พรรคชาติไทยวางเอาไว้ คือการปล่อยให้พรรคฝ่ายค้าน นำโดยประชาธิปัตย์(ที่ลืมไม่ได้คือ คุณอภิสิทธิ์ ที่มีบทบาทมากๆไม่น้อยไปกว่าใคร ในฐานะหัวหอกโจมตีเรื่องการศึกษาของคุณบรรหาร) เอาข้อมูลเท็จนำเสนออย่างต่อเนื่อง แล้วสุดท้าย อ.ชุมพล ก็แสดงหลักฐานหักล้าง เรื่องชาติกำเนิด ชนิดทำให้ คุณชำนิ พรรคประชาธิปัตย์ที่ทำหน้าที่ทหารม้าเรื่องชาติกำเนิดขณะนั้น พูดง่ายๆแบบชาวบ้านคือเสียหมาไปเลย
ผมนอนหลับไปด้วยความสบายใจ ว่ารัฐบาลคงได้บริหารต่อ แต่วันรุ่งขึ้น หัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ กลับลงไปในทางที่ว่า บรรหาร เละ แพ้ย่อยยับ
บทเรียนในวันนั้น ที่เกิดขึ้น คือนอกจากพรรคฝ่ายค้านเล่นเรื่องส่วนตัวได้แล้ว พรรคฝ่ายรัฐบาลก็ไม่คิดจะช่วยเหลือ ซ้ำร้าย สื่อมวลชนก็ไม่สนใจข้อเท็จจริงที่เกิดขี้นอีก
มันทำให้เป็นบรรทัดฐานว่า ถ้าคนจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ นอกจากมุ่งมั่น ทำความดี มีความรู้ ชาติกำเนิดต้องเป็นที่ยอมรับและดีด้วย
ถึงบรรทัดฐานนี้ไม่ได้ถูกเขียนออกมา แต่สังคมก็ได้ซึมซับรับทราบแล้วครับ ณ วันที่คุณบรรหาร ประกาศยุบสภา
ผมจำได้ขึ้นใจแค่ไหน ผมว่าคุณบรรหารต้องจดจำขึ้นใจยิ่งกว่าผมไม่รู้กี่ร้อยพันเท่า

ผมถึงได้ผิดหวัง การตัดสินใจ ของคุณบรรหารอย่างยิ่ง
คุณบรรหาร อาจจะมีเหตุผลร้อยแปด
แต่ คุณบรรหาร ที่ผ่านวิกฤติ แบบพวกมากลากไป สื่อชี้นำมวลชน แบบที่ลากคุณบรรหารลงจากเก้าอี้ทั้งที่ไม่ได้ขาดความชอบธรรมใดๆ กลับจับมือกับคนพวกเดิม ร่วมทำเรื่องราวที่ขัดกับการส่งเสริมประชาธิปไตยด้วยการบอยคอตไม่ลงเลือกตั้งเว้นเสียแต่ว่านายกต้องลาออก ทำได้อย่างไรครับ
คุณบรรหาร อาจจะมองว่าสิทธิในการไม่ลงเลือกตั้งเป็นของคุณบรรหาร ผมคงไม่ขยายซ้ำเรื่องที่ผมได้เขียนไปแล้ว วันนี้ เท่ากับคุณบรรหารตัดสิทธิบางส่วนที่คนจำนวนหนึ่งจะได้แสดงตัวว่าเห็นชอบกับแนวทางของคุณบรรหารไป
และอีกข้อ ก็คือ คุณบรรหาร ไม่น่าปล่อย ให้นักการเมืองรุ่นลูก อย่างอภิสิทธิ์ ชักนำเพื่อประโยชน์ของอภิสิทธิ์เองเป็นใหญ่
วันหน้า พรรคชาติไทย จะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่วันนี้ ด้วยเหตุผลทุกด้าน พรรคประชาธิปัตย์ต้องพยายามให้ พรรคชาติไทยร่วมวงบอยคอต เพื่อสร้างความชอบธรรม ลำพังพรรคประชาธิปัตย์ จับมือกับมหาชน ไม่เกิดน้ำหนักเท่าไหร่หรอกครับ รังแต่จะให้คนครหา ว่ารากเดิมเดียวกันร่วมมือกันก็เท่านั้น

จริงๆก็น่าเห็นใจครับ จะร่วมมือก็ใช่ที่ จะไม่ร่วมมือก็ไม่ได้ สุดท้ายจากการประเมินอย่างละเอียดแล้วคุณบรรหารก็ตกปากรับคำไป และจากนิสัยคุณบรรหารแล้วคงไม่กลับกลาย พลิกลิ้นได้
และวันนี้ที่ผมเขียนบทความก็น่าที่จะสายเกินการ ที่จะแก้ไข ดังคำพูดที่คุณบรรหารให้สัมภาษณ์
แต่ถ้าผมเป็นคุณบรรหาร ณ วันนั้น ผมจะบอกกับสื่อมวลชนว่า
ผมไม่ได้รับเงินทักษิณ แต่ผมยินยอมให้คนว่า ผมว่า ผมรับเงินทักษิณ ดีกว่าให้ผมกระทำเรื่องที่ขัดกับเจตนารมณ์ของประชาธิปไตย ถ้าไม่มีใครกล้าเล่นการเมืองอย่างถูกต้องแล้ว พรรคชาติไทยขอประกาศลงสมัครเลือกตั้งเพื่อเป็นพรรคฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในสภา ดีกว่าปล่อยให้ประชาธิปไตยของไทยเดินไปผิดทาง พรรคชาติไทยขอยึดมั่นในหลักการสำคัญกว่าความอยู่รอดของตัวเองและพวกพ้อง
แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับ ผมเข้าใจดีว่า ภาวะอันกดดันมันเป็นอย่างไร และคนพูดนั้นง่ายกว่าคนทำเยอะ
ถึงวันนี้แล้วถ้าคุณบรรหารจะทำให้มันถูกต้องก็คงไม่ทันแล้ว ผมแค่หวังว่าโอกาสหน้าคุณบรรหารคงไม่ทำลายศรัทธาผมอีก

วันศุกร์, มีนาคม 03, 2549

ถ้าผมเป็น อภิสิทธิ์ + เรื่องที่ผิดหวัง ตอนที่1


เก็บอยู่ในใจพักนึงแล้วครับ พรรคที่จับมือร่วมกันบอยคอต 3 พรรค คือ ประชาธิปัตย์ ชาติไทย และมหาชน (หรือจะพูดอีกอย่าง ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และ พรรคเคยเป็นประชาธิปัตย์)
ถึงแม้ว่า ผู้ที่เสนอจริงๆให้ บอยคอต คือ อภิสิทธิ์
แต่ทีผมผิดหวังจริงๆนั้น ไม่ใช่ อภิสิทธิ์
เพราะถ้าเป็นคนที่ติดตามการเมืองจริงๆ จะรู้ว่า อภิสิทธิ์ โดยเนื้อแท้แล้วเป็นอย่างไร

ถ้าวันนี้ เป็น บัญญัติ คิด ผมจะแปลกใจ ( แกไม่ค่อยริเริ่ม )
ถ้าเป็น ชวน คิด ผมจะอึ้ง ( ปกติแกไม่นอกกรอบ )
แต่เป็น อภิสิทธิ์ ผมเข้าใจ
รากเดิมของการคิด คือ ทำเพื่อชัยชนะ
อภิสิทธิ์ ไม่ใช่คนเจียมเนื้อเจียมตัว อยู่แล้ว เขาเกิดมาแบบหวือหวา และ ก็โตแบบพรวดพราด ไม่ต้องให้มีแหล่งข่าวภายในก็รู้ว่า มีไม่น้อยในพรรคที่คิดว่า ข้ามหัว
ไม้นี้เป็นไม้ตายสุดท้ายของ อภิสิทธิ์ ที่พยายามรักษาความยิ่งใหญ๋ภายในพรรคเอาไว้
ลองนึกภาพแล้วกันครับ ว่า ถ้าครั้งหน้าประชาธิปัตย์แพ้ อะไรจะเกิดขึ้น
ชวนแพ้ ชวนลาออก
บัญญัติ แพ้ บัญญัติ ลาออก
แล้วถ้า อภิสิทธิ์ แพ้ล่ะ มีหรือจะไม่มีเสียงว่าควรทำอย่างไร ต่อให้ไม่มีเสียงก็ต้องออก
แล้วถามว่า มีอะไรบ้างที่คนอย่าง อภิสิทธิ์ น่าจะคิดในหัว
จะได้กลับมาหรือเปล่า แล้ว ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
คงไม่มีโอกาสที่สองแน่นอน เพราะท่ามกลางเสียงอึงๆของคนที่เรียกร้อง ชวน รีเทิร์น ก็มีไม่น้อย
แล้วถ้าหลุดจากนี้ไปอีกสัก 4 ปี มันคงเป็นปีของ หล่อเล็ก อภิรักษ์ เป็นแน่

ชวนลาออก ไม่เป็นไรครับ เพราะเส้นทางการเมืองที่ยาวนาน มันพิสูจน์ตัวเองอยู่พอสมควร ถือว่าจบด้วยการเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ประชาชนชื่นชมที่สุด
บัญญัติ ลาออก จะเป็นไรละครับ เพราะ ใครๆก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นหัวหน้าพรรคขัดตาทัพ มันไม่ได้ไม่เสียยิ่งในภาวะที่แข็งแกร่งสุดๆของทักษิณ ไม่มีใครตั้งความหวังกับบัญญัติหรอกครับ ว่าจะงัดทักษิณลง
แต่ อภิสิทธิ์ มันอีกเรื่อง
เส้นทางของ อภิสิทธิ์ ต้องบอกว่ามันหมดจดงดงามตลอดมา เป็นนักการเมืองที่ไม่เคยถูกชาวบ้านด่า นักวิชาการไม่แตะ แม่ยกเพียบ ไม่มีภาพของนักการเมืองโกงกินแม้แต่น้อย แม้ในขณะที่คนร่วมพรรคตกอยู่ในวิบากกรรม เส้นทางดั่งเทพประทาน ดูไปดูมาคล้ายคลึงรุ่นพี่ชวนที่สุด
แต่ เมื่อฟ้าส่ง อภิสิทธิ์ มาเกิด ใยต้องกำหนดให้มี ทักษิณ เล่า
พลันที่ทักษิณตั้งพรรคการเมือง อนาคตของ อภิสิทธิ์ ก็มีอันเปลี่ยนไป๋
ว่าที่นายกแน่ๆ ทำท่าว่าจะลางเลือน
แต่ อภิสิทธิ์ ก็ยังเป็น อภิสิทธิ์ ที่ไม่ได้หยุดพักความมุ่งมั่น เขายังเชื่อมั่นตัวเองดุจเดิม
ทันทีที่ ปี้ขวน ลง อภิสิทธิ์ ไม่ได้ใช้เวลามากเลยในการตัดสินใจลงชิงชัยกับ บัญญัติ
แม้ในห้วงเวลาที่พ่ายแพ้ บัญญัติ ก็ไม่ได้หยุดคิดสักนิดถึงความรวดเร็วเกินพอดีของตัวเอง
ถ้าผมเป็น อภิสิทธิ์ ผมจะทุ่มเททุกสรรพกำลังที่มีเพื่อหนุนให้ บัญญัติ แข็งแรงอยู่ในตำแหน่งให้ยาวนานที่สุด แม้พ่ายการเลือกตั้งครั้งแรก ผมจะเป็นคนแรกที่บอกว่า พี่ สู้ต่ออีกเถอะ ผมจะช่วยพี่เต็มที่เลย มันไม่ใช่ความผิดพี่ กระแสทักษิณมันแรงเกินไปต่างหาก เป็นผม หรือ ปี้ชวน วินาทีนี้ก็ต้องแพ้
แต่เปล่าเลยครับ ไม่ว่าคุณจะมองเห็นภาพ อภิสิทธิ์ เป็นแบบไหน แต่ภาพที่ปรากฎชัดก็คือ ณ ห้วงเวลาอันยากลำบากของ บัญญัติ ซึ่งอาจจะพอนับเป็นห้วงเป็นห้วงเวลา ที่ลำบากของ ประชาธิปัตย์ ดุจเดียวกัน
อภิสิทธิ์ ปล่อยให้ บัญญัติ "เวิร์ค" เพียงลำพัง ทำตัวเยี่ยง พยัคฆ์บนภูผา ดูหมาไนกัดกัน
แต่ลืมไป 3อย่างว่า ตัวเองไม่ใช่พยัคฆ์ บัญญัติไม่ใช่หมาไน ทักษิณยิ่งไม่ใช่ใหญ่ และสุดท้ายที่ที่ยืนอยู่ไม่ใช่ภูผา
ไม่ใช่ภูผา ครับ แต่เป็นบ้านของตัวเอง คือพรรคประชาธิปัตย์
การวางเฉยนั้น มันบอกชัดครับ ว่า ทำได้ก็ทำไป ไม่มีทางดีได้หรอก ถ้าข้าไม่ช่วย
มันเหมือนคนมาเผาบ้าน แล้วเราก็เกี่ยงกัน ว่าจะให้ใครสั่งการ จนท้ายที่สุดแล้ว บัญญัติ ได้สั่งการ อภิสิทธิ์ ก็ทำเหมือนว่า ถ้างั้นพวกบัญญัติ ก็ทำกันไปแล้วกัน ฉันจะคอยดู ถ้าจะยืมถังละก็พอมีให้นะมาหยิบเอาเองแล้วกัน
แต่ลืมไปน่ะครับ ว่าที่ไหม้อยู่มันบ้านเรา พอ บัญญัติ ส่งไม้ให้ อภิสิทธิ์ ด้วยความเก่งของ อภิสิทธิ์ ก็พอจะทำให้ไฟที่ไหม้แรงนั้นดับมอดลง แต่ที่เหลืออยู่คือ บ้านครึ่งหลัง ครับ จะให้เก่งยังไง ที่เหลือไว้ให้คือบ้านครึ่งหลัง การก่อร่างสร้างใหม่นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย และคนในบ้านเองก็ต้องหนาวสั่นกับกลางคืน และร้อนรุ่มเมื่อแดดแรง ไม่ว่าผลลัพธ์นั้นจะมีความหมายในใจ อภิสิทธิ์ อย่างไร คุ้มค่าหรือไม่ แต่นั่นเป็นผลจากวิถีของ อภิสิทธิ์
พรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน อีกต่อไป มีช่องว่างรอยโหว่ระหว่าง คนใต้กับภาคกลาง แบบที่ต้องใช้เวลาประสานกันชนิดที่ยาวนาน
ยามใดที่ อภิสิทธิ์ ออกตัวไปข้างหน้า ใช่ว่าจะได้เสียงเต็มร้อยจากคนข้างหลัง
ถ้ายามนั้น อภิสิทธิ์ ฉวยโอกาสนั้นไว้ สร้างสภาพที่ บัญญัติ ขาด อภิสิทธิ์ ไม่ได้ หนุนหลังไว้ให้เต็มที่
สิ่งที่ อภิสิทธิ์ จะได้คือใจของคนทั้งพรรค บารมีก่อเกิด ชนิดที่ฉุดไม่อยู่
แถมรั้ง บัญญัติ ไว้เป็นกันชนกับ ทักษิณ
ยิ่งรุนหลัง บัญญัติ ให้เต็มที่ ฟัดกับทักษิณให้เต็มเหนี่ยว บั่นทอนกำลังให้เยอะๆ วันนี้จะเป็นวันที่บัญญัติ นั้นยับเยินแล้วจากการต่อสู้
และทักษิณก็จะเปลี้ยกว่าที่เป็นอยู่
วันนี้จะเป็นเวลาที่ อภิสิทธิ์ จะยืนหยัดได้อย่างสุดสง่า เพียบพร้อมด้วยราศีและบารมี เป็นตัวเลือกที่คนไทยปฏิเสธไม่ได้

แต่วิถึ อภิสิทธิ์ ไม่ได้อนุญาตให้ตัวเองทำอย่างนั้นครับ
กล่าวคือ ด้วยวิธีคิดแบบ อภิสิทธิ์ ไม่เปิดโอกาสให้กับคนอื่นและกับตัวเอง

ฉันใด ฉันนั้น วิถีแบบ อภิสิทธิ์ จึงใช้ออกอีกครั้ง ในรูปแบบของ การบอยคอต
ดุจเดียวกับ ที่ อภิสิทธิ์ ไม่สนใจความเป็นไปของพรรค ไม่คิดถึงส่วนรวมของพรรค
ครั้งนี้ อภิสิทธิ์ ก็ไม่สนใจความเป็นไปของชาติ และไม่มีหัวใจให้กับส่วนรวมที่ใหญ่กว่า อย่าง ประเทศของเรา
บอยคอตครั้งนี้ จึงเป็นการรั้งตัวเองไว้ให้อยู่ในตำแหน่ง และอำนาจสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้เท่านั้น
ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไม ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ถึงได้อยู่ไกลจาก อภิสิทธิ์ นัก
เพราะตำแหน่งนี้ ไม่เคยอนุญาต ให้คนที่คิดได้เท่านี้เอื้อมถึง

พรุ่งนี้จะมาว่ากันต่อ ว่าอะไรที่ผมผิดหวังนัก

วันพุธ, มีนาคม 01, 2549

ฝ่ายค้านบอยคอต ว่าเขาแต่เป็นซะเอง + 313 มาตราเจ้าปัญหา


โอววว... อยากจะเปลี่ยนหัวข้อบล็อค เป็น เมืองไทยไปกันใหญ่จริงๆเลย
นี่ถ้าไม่เห็นกับตา ละ ไม่เชื่อแน่ว่าการเมืองเราจะวิวัฒน์ไปเพียงนี้
ฝ่ายค้านประกาศบอยคอตไม่ลงเลือกตั้ง ถ้าทักษิณไม่ลาออก แล้วยังจะทูลขอรํฐบาลรักษาการณ์ด้วย!
มันอะไรกันครับพี่น้อง
บ้านเมืองเราไม่มีกฏกติกามารยาทกันแล้วหรือไร

ส่วนหนึ่งของผมเชื่อว่า ถ้าทักษิณเป็นนายกต่ออาจมีอะไรไม่ชอบมาพากล
ส่วนหนึ่งของผมเชื่อเหลือเกินว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้ขาวสะอาดไปทุกเรื่องแน่นอน(แม้ว่าจะพูดจาเข้าท่า)
และหวาดระแวงเช่นเดียวกันกับทุกท่านว่า ถ้าทั่นทักษิณเป็นต่อมันจะดีหรือร้าย (แม้ว่าจะมองไม่เห็นใครที่ดีกว่านี้)

แต่ว่า...
ฝ่ายค้านไม่ควรทำเรื่องราวให้มันผิดเพี้ยนบิดเบือนไปถึงปานนี้
ผมเข้าใจว่า ถ้าไม่ทำอย่างนี้ฝ่ายค้านก็ไม่มีอะไรไปสู้รบกับทักษิณ
และก็แน่ใจอีกว่า ถ้าฝ่ายค้านไม่ทำอะไรเลย ทักษิณนั้นแบเบอร์แน่นอน เหลือแต่จะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม
แต่ว่าถึงคนเราจะจนมุมอย่างไร ก็ไม่ควรใช้กระบวนท่าแลกชีวิตแบบนี้ ประมาณกูตายมึงก็ต้องตาย
ยิ่งไม่ควรใหญ่ในการยกอ้างจะบอยคอต บางคนเลยเถิดไปถึงว่า ไม่ยอมให้ทักษิณเล่นการเมืองต่อ ซะขนาดนั้น

มันเหมือนกับว่า เราตัดสินใจแข่งขันกัน ความตั้งใจแต่เดิมคือ หาคนเก่งที่สุด จึงตัดสินใจร่วมกันว่า ว่าจะเล่นหมากรุกกัน
กติกาว่าใครชนะได้เดินก่อน
แต่มีอยู่คนหนึ่ง เล่นชนะตลอด จะทำยังไงยังไง ก็ยังชนะ ช่วยกันคิดแล้วไอ้คนนั้นก็ยังชนะ
อีก3คนที่เหลือนั้นเลยกล่าวหา ว่าคนชนะน่ะต้องโกงแน่ๆ
ที่โกงก็คือพวกกูเนี่ยไม่เก่งหมากรุกแต่มึงหลอกให้กูมาเล่นหมากรุกที่มึงเก่งที่สุด(แต่ตอนเริ่มน่ะโอเคจะเล่นหมากรุกกันทั้งหมด)
จากนั้นก็สรุปกันเองว่า ในเมื่อมึงเล่นเก่งกว่าพวกกูนัก
กูไม่เล่นกับมึง ถ้ามึงจะเล่นต่อตาต่อไปพวกกูต้องเดินก่อน กติกาที่ว่าไว้กูไม่เอาแล้ว
ถ้ามึงยุ่งนัก เดี๋ยวกูจะเล่นกันเอง
หมากรุกนี่แหละแต่พวกกูจะเล่นกันเอง ขืนให้มึงเล่นมึงก็ชนะอีก
สรุปกันไป โดยไม่สนใจผู้ชมการแข่งขันกันเลย คนดูจะชื่นชมหรือไม่ ไม่สนใจ
พาลนึกกันไปเองว่า ไอ้เกมที่มีคนหนึ่งเอาแต่ชนะตลอดน่ะมันไม่สนุกหรอก คนดูน่ะดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจศิลปะการโขกหมากรุกกันซะเลย
ต้องเอาแบบว่าสูสีๆหน่อย เดี่ยวคนดูก็จะรู้สึกว่ามันสนุกเองแหละ
โดยไม่มีใครสนใจจะถามคนดูจริงๆ

คล้ายๆมั้ยครับ กติกาเรามีครับ และเป็นกติกาที่ครั้งหนึ่งใครต่อใครพากันยกย่องชื่นชมเป็นนักหนาว่า นี่มันสุดยอดประชาธิปไตย
แต่เป็นไงครับ พอมันไม่เป็นไปตามหวัง เราก็เปลี่ยนความคิดทันทีว่ากติกานี้มันแสนจะอยุติธรรม
เพราะเราไม่ชนะไงครับ
มันไม่เป็นกติกาที่ทำให้เราชนะ หรือ พึงใจ เราก็จะล้มมันซะแล้ว
สุดยอดประชาธิปไตยตามใจฉัน หรือครับ
ผมไม่ได้บอกว่า เราจะต้องใช้กติกานี้ไปจนชั่วกาลปาวสาน
กฎเกณฑ์ทุกอย่างนั้นมันเปลี่ยนแปลงได้เพื่อให้สมกับยุคสมัย
แต่มันไม่ใช่ว่าเมื่อเราไม่ถูกใจ เราก็จะทำมันง่ายๆอย่างนี้
มีนักวิชาการหลายท่าน พยายามโน้มน้าวว่า การปฏิบัติการของฝ่ายค้านนี้ ยอมรับได้ตามรัฐธรรมนูญและ กฎหมาย คนทั่วไปไม่ศึกษากฎหมายก็จะไม่รู้หรอกครับ ว่ามันทำได้
ผมก็ว่ามันทำได้ครับ แต่มันไม่ควรทำ
ควรแล้วหรือครับ ที่กลุ่มคนที่ว่าทักษิณปาวๆ ว่าเลี่ยงอย่างนั้น เลี่ยงอย่างนี้กับข้อกฎหมาย สุดท้ายก็มายกอ้างช่องว่างช่องโหว่ในบัญญัติเสียเอง มันถูกแล้วเหรอครับ
ถ้ารักชาติจริง เราจะทำอย่างนี้เหรอครับ กฏกติกาที่ไม่ต้องแปลให้มากความมันเห็นกันอยู่โต้งๆ เราก็บอกซะว่าไม่เห็นแล้วเลี้ยวลดไปในช่องโน้นช่องนี้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันขัดกับเจตนารมน์รัฐธรรมนูญ
วิธีการต่อสู้นั้นมีหลายอย่างครับ คุณก็ล่ารายชื่อผู้ที่ไม่เห็นพ้องกับหัวข้อนั้นๆสิครับ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนเห็นกันชัดๆว่าถ้าเก็บกติกานั้นๆไว้มันเสียหายอย่างไร
ถ้ามีคนเชื่อคุณมากพอ ประชาชนอยู่ข้างคุณจริงๆ มันก็ต้องเปลี่ยน ไม่มีใครฝืนมันได้หรอกครับ
อย่าทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไปเปล่าๆกันอย่างนี้เลย

แถมท้าย ถึงคนที่ก่นเรื่องมาตรา 313 ที่เป็นหัวข้อให้ด่าทักษิณ
สำหรับบางคนนะครับ
ที่คุณหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับมาตรานี้ ถามจริงๆเถอะว่าคุณรู้รึเปล่าว่าใจความทั้งหมดมันว่าอะไร
ผมน่ะเห็นมาเยอะแล้วครับ ฉุนเฉียวกันไป พอถามว่าอะไร บอกไม่รู้
เขาว่ากันมา...ก็ว่ากันไป