เมืองไทยไม่น่าเลย!: 2020

วันพุธ, กรกฎาคม 01, 2563

รำพีงรำพันของคน like ขั้วอำนาจนิยม

มีเพื่อนผมส่งข้อความมาไลน์กลุ่มดังนี้
บางครั้งคนเราทำให้คนอื่นเห็นในแบบที่เราอยากให้เห็น และ บางครั้งเราก็เห็นแค่ในสิ่งที่คนอื่นทำให้เราเห็นในแบบที่เค้าอยากให้เห็น #ลวงตา

กลุ่มนี้มีหลายคนที่เป็นคนพูดคุยหลัก คิดว่าใครมีไลน์กลุ่มคงทราบดี ยี่สิบสามสิบคน แต่จะมีคนแค่ห้าหกคนที่โพสต์ และพวกเขาคือฝ่ายที่สนับสนุนรัฐเผด็จการ หรืออำนาจนิยม และผมก็เข้าใจดีว่าทำไม เพราะโครงสร้างการได้ประโยชน์ของพวกเขา อิงแอบกับอำนาจ ต่อให้ไม่ได้รับประโยชน์ทางตรงก็มีทางอ้อม และต่อให้ไม่ได้รับประโยชน์เลยก็ยังไม่สะดวกใจกับการเชื่อมั่นในความเท่าเทียมกัน และการเรียนรู้ของประชาชน
พวกเขาสามารถทนทานต่อการที่ทหารใช้ประโยชน์จากงบลับ และการจัดซื้อที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ทั้งๆที่ก็เห็นๆกันอยู่ในข้อมูลหลายแหล่งว่ามันแพงเเกินไป พวกเขาสามารถทนทานกับการที่นายทหารระดับสูงแทบทุกคน มีเงินในบัญชีเป็นเงินเก็บเกินสิบล้าน เกินร้อยล้านได้ ทั้งๆที่เงินเดือนไม่ถึง พวกเขาทนทานกับการที่นายทหารนอกราชการนั่งเป็นบอร์ดของรัฐวิสาหกิจกรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับรั,ฐได้ทั้งๆที่ตลอดชีวิตไม่ได้ทำธุรกิจ พวกเขาทนทานกับการที่มีคนถูกติดตามคุกคามเสรีภาพเวลามีคนคิดต่างกับฝ่ายกุมอำนาจได้ ตลอดจนทนทานได้กับการที่คนไทยคนหนึ่งที่เห็นต่างถูกอุ้มหายไป และยังเมินเฉยกับความจริงที่ว่า เขามิใช่คนเดียวที่ถูกอุ้มหาย
แต่พวกเขาทนไม่ได้กับ เตี้ย มช ถูกยิง (ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องที่ผมไม่สงสารหมานะครับ แต่พวกนี้เขาเลือกที่จะทนไม่ได้เรื่องหมา แต่กลับทนได้เรื่องคน)
ทนทานไม่ได้กับที่ อบจ โกงเงินค่าก่อสร้างหรืออะไรสักอย่าง (ซึ่งมันก็ไม่ใช่ว่าดีนะครับ แต่นั่นเขาก็โกงกันได้หลักล้านเท่านั้น ส่วนงบทหารเท่าไหร่ ทหารจบจากการทำงานแล้วมีเงินเหลือมหาศาลมันยิ่งกว่าเยอะเลย)
ทนรับไม่ไหวกับการที่ สส ของฝ่ายที่ได้รับเลือกมากจะเป้นนายก (แต่ดันทนได้กับ สว 250 คนที่ไม่แตกเสียงเลย และไม่เคยทำงานอะไรในการตรวจสอบรัฐบาลเป็นชิ้นเป็นอันเลย)
หนักไปกว่านั้น พวกเขาเคยวิพากษ์กันว่า คนจนไปใช้สิทธิสามสิบบาทกันพร่ำเพรื่อเกินไป ซึ่งมันเป็นมายาคติที่ผิดเพี้ยนมาก เพราะเขาไม่เคยได้ลองเป็นคนจน หาเช้ากินค่ำ จะรู้ว่าการหยุดงานไปโรงพยาบาล มันเท่ากับการหยุดหายใจในบางครั้ง เพราะเงินได้แต่ละวันมันสำคัญเหลือเกิน
มาถึงโพสต์ของเพื่อนคนนี้
ที่จริงมันก็มาจากคนที่แรง หรือสนับสนุน เผด็จการทหารน้อยที่สุดคนหนึ่งในกลุ่มแล้ว
แต่รำพึงรำพันนี้ อาจจะเป็นภาพสะท้อนของความคิดบางอย่าง ของคนที่สนับสนุนอำนาจนิยม เผด็จการทหาร ลัทธิคนไม่เท่าเทียมกัน
ผมว่า เขาเห็นภาพบางอย่าง ของปัญหาในปัจจุบัน ที่มันสืบเนื่องมาจากการสนับสนุนของพวกเขา ทหารอยู่บนยอดอย่างนี้ไม่ได้นะครับ ถ้าไม่มีใครสนับสนุน
ย้อนไปช่วงปี 40 ครับ ไม่มีใครที่ออกมายืนให้กับทหารได้โดยไม่ถูกโจมตี เพราะว่าความชอบธรรมทั้งภายนอกและภายในมันมอดไหม้ไปแล้วกับ เพลิงและห่ากระสุนในสงครามกับเผด็จการในพฤษภาทมิฬ
ภายนอกคือกระแสของสังคมที่มาจากคนฝั่งประชาธิปไตย และคนที่อยู่ตรงกลางเขาก็ไม่เห็นด้วยกับระบบของทหาร
แต่ภายในคือข้างในใจครับ ในใจของคนที่อยู่ฝ่ายอำนาจนิยม พวกเขาก็หาความชอบธรรมในใจไม่เจอเหมือนกัน
ทุกวันนี้ ความชอบธรรมในใจนั้นก็ไม่ได้มีอยู่จริงครับ ด้วยสติปัญญาของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็รู้ครับ แต่ว่า ก็ต้องทำความชอบธรรมหลอกๆขึ้นมา เพื่อหล่อเลี้ยงความคิดเอาไว้ครับ
และก็หวังว่า จะมีชุดของข้อมูล ชุดของการกระทำซึ่งอาจจะไม่ค่อยเป็นทางบวกของประชาธิปไตย (ซึ่งมันก็ต้องมีครับ เพราะว่าในทุกระบบ ทุกสังคมมันก็ต้องมีด้านบวกด้านลบ เป็นเรื่องปกติ) เพื่อที่เขาจะได้หยิบเอาทำชุดของความชอบธรรมมาต่อหล่อเลี้ยงลมหายใจของอำนาจนิยมเอาไว้ เมื่อมันมีน้อยลง บทรำพึงรำพันนี้ มันจึงได้เกิดขึ้น
ผมเห็นอย่างนี้นะ

วันอังคาร, มิถุนายน 16, 2563

เคยเกลียดประยุทธ

ผมเคย เกลียดประยุทธ์

ผมสารภาพเลยว่า ทุกผลผลิตที่มาจากการปฏิวัติ การรัฐประหารที่ผมไม่ชอบนั้น
ผมเคยเกลียดประยุทธ์ ว่า ประยุทธ์เป็นที่มาของทุกสิ่งทุกอย่างที่น่ารังเกียจเหล่านั้น

คนที่เคยเดินกุมเป้าตามหลังยิ่งลักษณ์ต้อยๆ
วันหนึ่งก็มาอวดเบ่งอยู่หน้าเวที แล้วก็เที่ยวสั่งสอนคนทั้งประเทศว่าต้องทำอย่างไร ในเรื่องที่ตัวเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญ ไม่เคยทำ

ก็คิดดูว่าเป็นทหารอาชีพมาตลอดชีวิต จะมาสอนเราเรื่องค้าขาย
เป็นทหารจะมาสอนเรื่องการเพาะปลูล
เก่งมาจากไหน

ในที่สุดก็ได้รู้ว่า่เขาเป็นเด็กท็อปของห้อง
แต่
วันครู ครูของเด็กชายตู่ บอกว่า เป็นเรื่องน่าแปลกที่ครูจดจำประยุทธ์ได้
เพราะปกติครูจะจำได้เฉพาะเด็กที่เรียนเก่งกับเด็กที่เรียนแย่
แสดงว่า
ประยุทธ์ไม่ใช่เด็กเรียนแย่ แต่ก็ไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง
แล้วเขาเป็นท็อปของห้องได้อย่างไรนะ
ไม่รู้เหมือนกัน
ห้องในชั้นเรียนทหารมั้ง (`ー´)
เอ้า เก่งก็เก่ง

ยังมีอีกหลายอย่างที่ทำให้เคยเกลียดประยุทธ์ เช่น เลื่อนการเลือกตั้งไปเรื่อยๆ
หลอกเราไปเรื่อยๆ เหมือนเราเป็นเด็กอมมือ

ใช้พลังประชารัฐที่เป็นชื่อโครงการ แล้วก็บังเอิ้น มีพรรคชื่อพลังประชารัฐมาเป็นพรรคสนับสนุนให้เป็นนายก ( ̄x ̄;)
บังเอิ้น บังเอิน จริงนะ แม่ประไพ

เคยเกลียดทักษิณ อืมมม ก็ไม่ถึงขนาดเกลียดนะ แค่ไม่เห็นด้วย ตอนทักษิณ ยกป้าย เขียว แดง ให้คะแนนคำถามนักช่าว ดูถูกนักข่าว ถึงแม้ว่าคำถามบางคนจะไม่น่าถามก็เถอะ ก็ไม่น่าดูถูกกัน

แต่พอมาถึงเลเวลของ เอิ่ม ลุง (´・`)จะเรียกลุงดีมั้ยนะ เรียก ตู่ เฉยๆแล้วกัน
ตู่ จะทุ่มโพเดียมบ้าง จะปัดโถ่ใส่นักข่าว
จะบอกว่า ลองมาไล่กูดูสิ
จะขู่ว่า หรือจะเอากันอย่างเดิม ( Σ(꒪ȏ꒪) อย่างไหนคืออย่างเดิมก็ไม่รู้ บอกก็ไม่หมด พูดไม่รู้เรื่อง)

มากมาย สุดจะจารนัย
เกินเวลน้าทักกี้ไปหลายขุมหลายเท่า

ยัง ยังมีคนบอกว่า มันเป็นสไตล์
ก็แล้วแต่นะ ทางใครทางมัน

แต่ผมนี่ (เคย) เกลียดประยุทธ์

จนมาวันหนึ่ง สิ่งที่รู้อยู่แล้ว ก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
ว่า ตู่ ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่มันเน่าเหม็น เหม็นมาจากข้างใน
มีคำพูดคล้ายๆที่ตู่ใช้ หลุดออกจากปากคนระดับผู้นำอีกหลายคน
ทั้งๆที่เราก็น่าจะรู้ว่า คำพูดเหล่านั้น เหยียดเพศ เหยียดชั้น ดูแคลน และเข้าใจว่าตัวเองเป็นนาย ประชาชนเป็นบ่าว
แต่คนพวกนั้นก็ยังหยิบแพทเทิร์นที่น่าชังออกมาใช้กันเกร่อ
โฆษกรัฐบาล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
โฆษกพรรค
ข้าราชการ
มันสะท้อนถึง แนวคิดอำนาจนิยม ที่ฝังรากอยู่ในระบบสังคมและการเมืองของเรามาช้านาน

ผมเริ่มหันมาเกลียดระบบนี้ ระบบที่ข้าราชการอยู่บนหัวประชาชน
ระบบที่พูดออกมาได้เต็มปากว่า ประชาชนไม่สำคัญขนาดนั้น ทั้งๆที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
ระบบที่คาดการณ์อยู่แล้วว่าจะต้องมีคนฆ่าตัวตายที่เกิดจากการปิดประเทศ แต่ดูเหมือนผู้นำเขาจะ พอ ยอม รับ ได้

ใช่ครับ ผมเคยเกลียดประยุทธ์
ผมหันมาเกลียดระบบ
ประยุทธ์นะเหรอ ผมไม่ได้เกลียดแล้วครับ
แต่โคตรเกลียดเลย