เมืองไทยไม่น่าเลย!: 2006

วันเสาร์, กันยายน 23, 2549

โชว์ห่วยVSยักษ์ค้าปลีก ใครก็รู้ ใครจะอยู่ ใครจะไป

Big C, Carrefour, Tesco Lotus 3ยักษ์ใหญ่วันนี้ที่ใครหน้าไหนก็ไม่กล้าบอกว่าไม่รู้จัก ผุดดิสเคาท์สโตร์ขึ้นเป็นดอกเห็ด ไม่อยากจะใช้คำนี้เลยเพราะเหล่านักบ่นคนวิจารณ์ทั้งหลายก็ใช้กันให้เกร่อ แต่ว่าไม่ใช้คำนี้ก็ไม่รู้จะใช้คำไหนจริงๆครับ จะใช้ ผุดขึ้นเป็นขี้กลากก็กระไรอยู่ ปกตินักบ่นจะเหมารวมเอาว่าเป็นยักษ์ค้าปลีกข้ามชาติทั้งที่จริงมันก็มีข้ามมั่งไม่ข้ามมั่งก็เห็นๆกันอยู่ อย่าง 2 ใน 3ของยักษ์ใหญ่ก็มีคนไทยถือหุ้น เท่าไหร่นั้นไม่ทราบ

ผลกระทบอันมีต่อพื้นที่การใช้ชีวิตของคนทั่วไปนั้น เหลือประมาณครับ ถ้าจะขอไล่เรียงซ้ำเหมือนคนอื่นๆบ้างหวังว่าคงไม่ว่ากัน
สำหรับผู้ค้ารายย่อยนั้น เหมือนฝันร้ายในคืนอันยาวนาน กลุ่มผู้ซื้อหลักนั้นเปลี่ยนไปซื้อของในดิสเคาท์สโตร์กันไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เพราะของในร้านเล็กๆนั้นน้อยกว่า ถ้าจะเอาแค่ซื้อสบู่ซักก้อน ร้านเล็กๆอาจจะมีให้ได้แค่3-4ยี่ห้อ ก็ใครมันจะไปทุ่มซื้อ10-20ยี่ห้อมาตุนไว้ไหว แต่ดิสเคาท์สโตร์นั้นให้ได้ ถ้าหากว่าดิสเคาท์สโตร์ตั้งอยู่ห่างกัน4มุมเมืองก็ว่าไปอย่าง แต่ก็อย่างที่รู้กันว่ามันแทบจะทุกจุดในกรุงเทพที่มีร้านเหล่านี้แทรกตัวอยู่ เอาเป็นว่า ถ้าออกจากบ้านไปไม่กี่ป้ายรถเมล์คุณก็มีสิทธิใช้บริการดิสเคาท์สโตร์แล้ว ถ้าจะมีใครยืนซดกันได้แบบหมัดต่อหมัดทุกวันนี้แล้วก็คงได้แก่ร้านมินิมาร์ท ตระกูลเซเว่นอีเลเวน แฟมิลี่มาร์ท เป็นต้น แต่ก็อย่างว่า ยิ่ง2ฝ่ายนี้ยืนซดกันได้นานเท่าไหร่ หญ้าแพรกอย่างโชว์ห่วยก็แหลกราญเท่านั้น
สำหรับผู้ซื้อ มันดูเหมือนจะดีมากๆถ้ามองในมุมผู้ซื้อ ของที่ซื้อได้ก็มีราคาถูก ทางเลือกสินค้าก็มีหลากหลาย สะดวกสบายเพราะมีรถเข็นให้ด้วยในบรรยากาศติดแอร์ เผลอๆก็เป็นที่ผักผ่อนหย่อนใจ ดูหนังดินเนอร์ได้ทั้งหมด น่าจะดี
แต่สิ่งที่เสียไปแบบไม่ทันรู้ตัว ก็คือ เงินในกระเป๋า สังเกตดูสิครับว่า ถ้าซื้อของหน้าปากซอย คุณจะใช้เงินสักเท่าไหร่ แต่ถ้าซื้อของในดิสเคาท์สโตร์คุณใช้เงินเท่าไหร่ นี่ยังรวมไปถึงว่าพฤติกรรมติดตัวในการซื้อของไม่จำเป็นเพราะว่ามันถูกอีกต่างหาก คนจำนวนมากไปดิสเคาท์สโตร์ตั้งใจจะซื้อของเพียงอย่างเดียว แต่จบลงด้วยการขนของมาเต็มท้ายรถ เพราะคำว่า ไหนไหนก็มาแล้ว
อีกอย่างนั้นของที่ซื้อถูกจริงเพราะมีการแข่งขันกันในเรื่องของราคาระหว่างดิสเคาท์สโตร์ แล้วยังถูกแข่งขันแฝงอีกต่างหากระหว่างผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันที่ต้องการสอดแทรกเข้ามาในตลาดติดแอร์ ถ้ามองย้อนกลับไปในที่มาของราคานั้น เป็นเรื่องของ กำไร และ ต้นทุน การบีบราคาการบีบต้นทุนนั้นเป็นความเกี่ยวเนื่องโดยตรงส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่คือ วัตถุดิบ และ การผลิต ซึ่งทั้งสองส่วนนั้น เป็นที่มาของคุณภาพ คุณภาพจึงถูกกระทบทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
ราคาลด คุณภาพดี ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นไปได้ยากที่จะเป็นอย่างนี้ได้ทั้งหมด ส่วนใหญ่แล้ว ของถูกมักจะมีคุณภาพที่ด้อยกว่า

ความเป็นจริง ก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ว่าความได้เปรียบมันทิ้งกันแบบไม่เห็นฝุ่น
ถามว่าถ้าเราตั้งกำแพงการค้าขึ้นมาขวางทำยังไงละครับ เขาก็จะตัดโน่นตัดนี่ที่เขาเคยช่วยเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสิทธินำเข้าต่างๆทั้งยุโรปและอเมริกาขึ้นมาขู่ ถ้างั้นเราก็แพ้อยู่ดีแหละครับ ไหนจะเรื่องเขตการค้าเสรีอีกที่โดนบีบอยู่ทุกวันทุกวันจนหน้าเหลือง

มันมีความเป็นไปได้เหมือนกันที่ถ้าเรามีช่วงเวลาพิเศษ อย่าง คณะปฏิรูป เป็นผุ้ถืออำนาจหลักในสังคม มันจะสามารถแก้ไขอะไรได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องคำนึงถึงญาติสนิทมิตรสหายและสายเส้น แต่ทว่า เรื่องมันไม่ได้ง่ายดายอย่างใจนึกหรอกครับ
ลองนึกดูว่าถ้าท่านนายกสุรยุทธเกิดบอกว่า งั้นก็งดหมดไม่ให้มีดิสเคาท์สโตร์เพิ่มแล้ว มันไม่ได้สร้างสมดุลขึ้นมาแบบทันทีทันใดแน่นอน นึกภาพว่าผู้เล่นในตลาดที่มีอยู่จะมีสถานะแบบไหน เทสโก้โลตัส ก็คงจะยิ้มเลย เพราะถึงจะเสียโอกาสการขายมากขึ้นในอนาคต แต่ด้วยความที่เป็นผู้เล่นใหญ่สุด อะไรจะมีเปรียบกว่านี้ละครับ เพราะคู่แข่งนั้นไม่สามารถเปิดสโตร์แข่งขันได้ ร้านมินิมาร์ทหรือร่างทรงแบบโลตัสเอ็กเพรสก็จะสยายไปทั่วทุกหัวระแหงแทน ทีนี้ก็อยู่ดีละครับว่าร้านรายย่อยก็มีอันต้องวินาศรอบสองด้วยเกมบี้กันของ โลตัสเอ็กเพรส บิ๊กซีมินิ แล้วยังเซเว่น อีเลฟเว่น อีกต่างหาก
ทำนองว่าช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกราญ

มันแปลกมั้ยครับ ว่าเราไม่สามารถกำหนดยุทธศาสตร์แบบอิสระได้เลยจริงหรือ?

มันต้องได้ครับ เพียงแต่เราต้องรู้ว่าเรากำลังแลกอะไร กับอะไร
สมมติว่าถ้าโดนมาตราการตอบโต้จากต่างชาติ เราเสียอะไรบ้างครับ คิดเป็นมูลค่าเงินออกมาแล้วคำนวนกลับ ด้วยสมการ
ผลเสียจากการค้าระหว่างประเทศxเวลา = มูลค่าการค้าของขุมชนxจำนวนชุมชนxเวลา
ทั้งนี้อย่าลืมครับว่าเวลาของสองด้านนั้นไม่เท่ากัน เวลาแห่งความสูญเสียการค้าระหว่างประเทศอาจดำรงอยู่3-5ปีหลังจากนั้นก็คงปรับตัวกันได้ แต่เวลาของชุมชนอาจยาวนานจนคาดไม่ถึงทีเดียว
หากท่านมีปัญญาวางแผนหาทางออกของการปรับตัว เวลาแห่งความเสียหายจะสั้นลงไปอีก
แต่อย่าบอกนะครับว่าไม่มี
เราจ้างท่านด้วยเงินภาษีให้มาคิดมาทำ

อย่าซ้ำรอยเดิม

ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อ แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว
รัฐประหารในไทยได้เกิดขึ้นอีกแล้วจริงๆ
ถ้าไม่สนใจเบื้องลึกเบื้องหลังของการตัดสินใจ ทั้งจะเป็นเรื่องเหยียบเท้าข้ามหัวกันจนทำให้ทนไม่ไหวแล้วละก็
ต้องบอกว่าเหตุผลสนับสนุนนั้นมีมากพอแก่คำว่า สมเหตุสมผล สำหรับคนไทยด้วยกันจริง
แต่สำหรับคนต่างชาติ มันมองไม่เห็นเหมือนอย่างเราเห็นแน่นอนครับ
ไม่ต้องอะไรมาก เทียบกับเรื่องในบ้านเราแล้วกัน ตัวเราเองก็ไม่แน่ว่าจะรู้เต็มที่เต็มร้อยว่า ปัญหาของลูก สามี ภรรยา ของตนนั้นเป็นอย่างไร อาจจะรู้สัก 70-80 ส่วนในร้อยส่วนก็เป็นได้
ทีนี้เพื่อนบ้านของเรา มองมา เขาก็รู้ได้แค่ 20-30ส่วน หรือว่าดีไม่ดีก็ผิดหมดเลยก็ได้
ประเทศนั้นใหญ่กว่านั้นอีกมากครับ จะให้ประชาชนในอีกประเทศรับรู้และเข้าใจได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
สิ่งที่คนหนึ่งคนใดนั้นจะรับรู้ก็ต้องเข้ามากระทบมิติความคิดพื้นฐานของแต่ละคนเข้าไปอีกเพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายในสมการ 1+1 เป็น 2 แน่นอน
อย่างเราอยู่ในประเทศไทยอย่างนี้ ถามว่าเรารู้สึกอย่างไรกับรัฐบาลทหารของ พม่า ครับ อาจจะรู้สึกไม่ดี กลัว ไม่อยากไปเที่ยวเลย แต่สำหรับคนที่เคยไป เขาก็บอกว่าไม่มีอะไรนี่ครับ น่าสนใจ และมีศักยภาพมากมาย
หรือเรามอง เวียดนาม เป็นประเทศที่ล้าหลังเรามาช่วงหนึ่งแล้ว แต่ ถ้าไปเยี่ยมเยียนก็จะรู้ว่าบ้านเมืองเขาสิ่งก่อสร้างเท่านั้นที่ดูล้าหลัง แต่อย่างอื่นๆทั้งเทคโนโลยี และ ความรู้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าเรา และในบางภาคส่วนก็ก้าวล้ำเกินกว่าเราแล้ว

แต่ก็นั่นแหละ แม้ผมจะเล่าอย่างนี้ บางคนก็คงไม่เชื่อใช่มั้ยครับ เพราะสารที่รับรู้นั้น มันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าน้ำหนักจะมากน้อยและความถี่ในการรับ รวมถึงแหล่งที่มา อีกต่างหาก
ถ้าคิดด้วยตรรกะธรรมชาติอย่างนี้แล้ว บางคนก็คงจะนึกออกว่า พื้นฐานการทำธุรกิจ หรือ ความเกี่ยงโยงในด้านเศรษฐกิจมหภาคนั้น มันก็มาจาก ความ-เชื่อ-มั่น นั่นเอง
แล้วความเชื่อมั่นนั้นมันมาจากไหนละครับ ก็คิอข่าวสาร และการรับรู้ ซึ่งมันก็วนกลับไปถึง ความคิดความเชื่อพื้นฐานของประชาชนในแต่ละประเทศอีกครั้งหนึ่ง
การที่จะทำให้คนเกิดความเชื่อมั่นนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ เราเป็นก่อน
ง่ายๆเลยครับ ลองนึกดูว่าถ้าตัวเราเองไม่เชื่อมั่นในตัวเอง เวลาเราชักชวนใครให้ร่วมไปกับเราใครเขาจะเชื่อล่ะครับ
ได้แต่ขอให้ทุกๆคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนไทย ทั้งที่เคยคิดเห็นแก่ตัว ทั้งที่เคยกังวล ทั้งที่เคยใช้อารมณ์ ทั้งที่เคยขุ่นมัว
ขอให้ลืมครับ ลืมเรื่องบาดหมางใจไปซะ ให้เหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย แล้วมุ่งมั่นจับเอาแต่ประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก
ไม่คิดถึงใครเลย ก็ขอให้คิดถึงลูกหลานที่เขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนผืนแผ่นดินไทยเถอะครับ
เรามันก็จะเข้าโลงกันไปทุกวันมันก็แค่นั้นเอง

วันจันทร์, กันยายน 11, 2549

คิดดีได้ สังคมก็ดีเอง

ไม่ได้เขียนซะนานมากครับ
เพราะตั้งใจว่าตั้งแต่งานพระราชพิธีของล้นเกล้าล้นกระหม่อม
ผมจะถือว่าคนไทยรักกัน เราก็รักกันเลยไม่อยากจะเป็นหนึ่งในคนสุมไฟทั้งหลาย
ดังนั้นแล้วจะของดเขียนถึงเรื่องการเมือง พาดพิงอาจมีบ้าง แต่หลักๆนั้นผมอ่านและฟังคนอื่นดีกว่า
เรื่องติดใจของ ณ วันนี้คือ หันไปทางไหนทำไมมีแต่คนบ่นกันมากนัก หาคนเสนอทางแก้ไม่ค่อยจะเห็น
เมืองไทยเราเลย มองไปทางไหน ก็มีแต่เรื่องไม่ดีมาพูดกัน
ไทยเราก็มีคนเก่งๆเยอะ เสียแต่ขี้บ่นไปหน่อย ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้เก่งแต่ก็บ่นเก่งเหมือนกัน และพยายามที่จะไม่บ่นเฉยๆแต่จะคอยมองว่ามีอะไรที่จะเป็นทางออกได้บ้างทุกๆครั้ง เรียกว่าพยายามฝึกฝนไปในตัว
ถ้าจะหยิบยืมคำฝรั่งมาใช้ นั่นก็คือเรามักจะเห็นแต่ปัญหา หรือ Problem
ในขณะที่ฝรั่งบางชาติ(ไม่ทุกชาติไปนะครับ) เรียกมันว่า Challange สิ่งที่ท้าทายหรือโอกาส
สิ่งที่ยังไม่ดีนั้น ฝรั่งบางชาติเรียกมันว่า โอกาส เพราะนั่นหมายถึงว่าเรามีสิทธิที่จะทำได้ดีกว่านี้ในวันพรุ่งนี้
แต่ถ้าเราเห็นว่ามันเป็นปัญหาอยู่ร่ำไป มันก็จะเป็นปัญหาอยู่อย่างนั้น
เราอาจจะหาวิธีแก้ปัญหา แต่นั่นก็หมายถึง เรามักจะแก้แต่ปัญหาตรงนั้น
แต่ปัญหาเดียวกัน ฝรั่งบางชาติ อาจจะทำให้มีประโยชน์เพิ่มเติมขี้นมาเมื่อแก้สำเร็จ สร้างเป็น Value added ขี้นมา
ไม่ได้นิยมฝรั่งหรอกครับ แต่เดี๋ยวนี้มัน ก็อปบรรลัยเซชั่นกันทั่วไป ให้เกร่อ ใช้คำภาษาอังกฤษบางครั้งก็เป็นที่เข้าใจง่ายดี
จริงๆแล้วก็ไม่ได้คิดว่ามันแตกต่างอะไรหรอกครับ จะหัวแดงหัวทองมันก็คนเหมือนกัน แต่มันก็ต้องยอมรับว่าเขาก็มีคนเก่งๆอยู่มาก
ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเรามีสุดยอดกูรูทางปัญญาอยู่แล้ว แล้วแทบจะเรียกได้ว่า ใกล้ชิดกว่าทุกชาติทุกภาษา
แต่บางทีคนไทยเราพอใกล้เกินไปก็ห่างเต็มทีไปในตัว นั่นก็คือ พระพุทธเจ้า ของชาวพุทธนั่นแหละครับ
ทั้งไอ้เรื่อง THINK POSITIVE ทั้ง เทคนิคการจัดการ จริงๆมันก็อยู่ในหลักธรรมทั้งนั้นแหละครับ
เพียงแต่เราไม่ได้สนใจไปดูเองว่ามีของดีอะไรบ้าง
ช่วยกัน THINK POSITIVE เถอะครับ ถ้าไม่เชื่อฝรั่ง ก็เชื่อธรรมะของพระพุทธองค์กันก็ได้ครับ

วันพุธ, เมษายน 05, 2549

ฉีกบัตร อารยะขัดขืน?

ว่าจะพูดถึงเรื่อง การลาออกของทักษิณ แต่แวบหนึ่งที่เห็นบทความของ อ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ เกี่ยวกับ อ.ไชยันต์ ไชยพร ที่กลายเป็นวีรบุรุษไปแล้วในสายตาคนจำนวนมากหมู่หนึ่ง
และแน่นอนในทางกลับกัน ก็กลายเป็นคนที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุดคนหนึ่ง เหมือนกัน ว่าทำไปทำไม
บอกตรงๆว่าลำบากใจเหมือนกันที่จะเขียนถึง เพราะในใจก็นิยมไม่น้อยละนะครับ กับความกล้า
แต่มันก็คันจนทนไม่ได้ที่จะขอแสดงความคิดเห็นไว้ ไม่ยากนักขอรับ
หนึ่งนั้น ผมเข้าใจได้ละครับ ว่าในการตีความของ อ.พิชญ์ ในแบบคนใกล้ชิดและตามประสาคนมองในทิศทางเดียวกัน
จะเป็น การต่อสู้ แบบ อริยะ อะไรก็แล้วแต่ แนะว่าควรไปหาอ่านจาก prachathai.com จะดีกว่า
แต่ผมก็มีคำถามอยู่ว่า
ถ้านี่เป็นความถูกต้อง
สมมติว่า คน 1 ล้านคน ฉีกบัตรเลียนแบบ อาจารย์ มันจะเป็น เรื่องดี หรือไม่
เราเสียบัตรเลือกตั้ง ไปในรูปแบบอย่างนั้น เป็นความถูกต้องตามเจตนารมณ์ของประชาธิปไตยหรือไม่
แล้วสมมติ ว่า ต่อจากนั้นละ มันจะเป็นการสร้างความรุนแรงอย่างอื่นๆต่อเนื่องหรือไม่
สมมติ ว่าคนทั้งเขต พร้อมใจกันทำลายคูหาเลือกตั้ง แล้วกล่าวว่า เป็นสิทธิของ คนทั้งเขต นั้นๆ จะถือว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะในบรรทัดฐานแบบเดียวกันกับบัตรเลือกตั้งที่เป็นของ อาจารย์ คนเดียว
คูหาเลือกตั้งนั้น ก็เกิดขึ้นมาเพื่อคนเขตนั้นเขตเดียวเหมือนกัน ว่าอย่างนี้จะได้หรือไม่ โดยยึดบรรทัดฐานว่าทำไปเนื่องจาก เหตุแห่งอริยะ อันเกิดจากจริยธรรม ที่สูงส่งกว่ากฏหมายธรรมดาทั่วไป

ว่าอันที่จริงแล้ว บัตรเลือกตั้งใบนั้น เป็นของอาจารย์ คนเดียวหรือเปล่า ?
ต้องย้อนกลับว่า ในทัศนะด้านใด
ถนน ที่เข้าสู่หมู่บ้าน เป็นของคนในหมู่บ้านหรือเปล่า? ถ้าเช่นนั้น แล้วเป็นสิทธิของคนในหมู่บ้านหรือเปล่าที่จะทำลายถนนเสีย ด้วยเหตุแห่งว่า เป็นเส้นทางลอบขนส่งยาบ้า
ไม่ใช่แน่ๆครับ ถ้าเป็นเส้นทางขนยาบ้า อันสิทธิของคนในหมู่บ้านที่จะปกป้องตัวเองน่าจะเป็นการแจ้งตำรวจมากกว่า
จริงหรือไม่

เพราะบัตรเลือกตั้งใบนั้น เป็นของอาจารย์ มากเท่าๆกับ เป็นของผม ของคุณ ของคนอีกเป็นล้านๆคน เท่าๆกัน
เพราะมันพิมพ์ขึ้นจากเงินภาษีของประชาชน
ดังนั้นแล้ว อารยะวิถึหรือไม่ มันขึ้นกับ การคำนึงถึง และมุมมองของบุคคล

ผมไม่ปฏิเสธ ว่า อาจารย์เป็นคนกล้า และ ผมเคารพในความคิดอันแรงกล้า ที่จะเชิดชูสิ่งที่ถูกต้อง
แต่ผมคงไม่สามารถเห็นด้วยกับ อาจารย์ได้ ในมุมมองของ การกระทำเพื่อให้บรรลุสิ่งนั้น
ผมอยากขอให้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นเรื่องแบบนี้ในคูหาเลือกตั้ง การทำลายนั้น ไม่มีวันเป็นทางที่บริสุทธิจริงแท้ไปได้แน่

ที่ผมอยากจะเห็นจริงๆจากอาจารย์ ให้เรื่องนี้ เป็นการต่อสู้อันบริสุทธิ์ ผมคิดว่า อาจารย์ ฉีกบัตร เถอะครับ
ฉีกเสร็จแล้วบอกให้ชัดเจน เลยครับ ว่า เรื่องนี้ ที่อาจารย์ ทำนั้น ผิด
แต่ความผิด อันนี้ เกิดจากเจตนาอัน บริสุทธิ์ ทั้งทั้งที่รู้ว่า ผิด ก็ยินดีทำ
ไม่ใช่เรื่องถูกต้องตาม วิถีอารยะ อะไรนั่น

แบบนี้ดีมั้ยครับ สำหรับคนที่อยากประท้วงในคูหาคราวหน้า ที่จริงแล้วมันมีวิธีอีกร้อยแปด
เช่น พอไปถึงช่อง ก็ ไม่กาอะไรเลย แล้วหยุดยืนไว้อาลัยเฉยๆ จนกว่าจะหมดเวลาเลือก เอาตั้งแต่เช้าเลยนะครับ
มันไม่มีกฏหมายห้ามนี่ครับ เป็นข่าวแล้วยัง น่ารักกว่าตั้งเยอะ

วันอาทิตย์, มีนาคม 05, 2549

เรื่องที่ผิดหวัง ตอนที่2

ว่ากันต่อเรื่องที่ผิดหวัง
ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ ที่ผมผิดหวัง เพราะเข้าใจ อย่างที่บอก
ไม่ใช่คุณ พลตรีสนั่น เพราะผมไม่ได้หวัง
แต่ที่ผิดหวังอย่างจัง คือ ทั่นบรรหาร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่21ของไทย
สองคนแรกไม่เคยอยู่บนจุดสูงสุดเหมือนอย่าง คุณบรรหาร ย่อมไม่เข้าใจได้ว่าการที่ถูกคนจำนวนมากเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่นั้น ต้องแบกอะไรไว้บนบ่าบ้าง การลาออกสำหรับทักษิณ จะหมายถึงการยอมรับ ในหลายๆอย่าง
อาจหมายถึงการรับผิด สำหรับคนบางกลุ่ม
และอาจรวมถึง การยอมรับ ว่าการบอยคอตเป็นเรื่องที่กระทำได้ และมีผล
แต่ผมคิดว่าคุณบรรหารน่าจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี

ก่อนจะวิพากษ์ใดอื่น ขอกราบด้วยความเคารพเลยครับว่า ส่วนตัวผมเป็นคนหนึ่งที่นิยม ยกย่อง และชื่นชมการทำงานของคุณบรรหาร มากๆ เผลอๆถ้าวัดกันเป็นมารตได้ จะมากกว่า คุณทักษิณและคุณชวน เสียอีก ใครจะกล่าวหาว่าผมดูหมิ่น ท่านองคมนตรีก็ยอม ผมนิยมท่านบรรหารมากกว่า
ครับ ดังนั้นแล้วถ้าหากจะระคายเคืองไปบ้าง ขอเรียนว่า ด้วยความรักครับถึงได้ติติงกัน

เอาละว่า เราต้องยอมรับว่า หนทางของพรรคชาติไทย ค่อนข้างจะตีบตัน
ท่านบรรหารจะมองไปทางไหนก็ขยับตัวได้ยาก ใครอื่นอาจจะมองว่ากระสุนใกล้หมด อะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการขับเคลื่อนองค์กรใหญ่ๆแบบพรรคชาติไทยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เมื่อปีที่แล้ว ภาพของพรรคชาติไทยยังสนิทแนบแน่นกับพรรคไทยรักไทยอยู่ดีๆ ก็ต้องมีอันพลิกผัน
การย้ายฝั่งมาอยู่ร่วมกับทางประชาธิปัตย์ ก็เป็นไปแบบฝืนๆ เหมือนสูตรอาหารที่ยังไม่เข้าเนื้อกันดี คุณอภิสิทธิ์ว่ายังไงมา แกก็จะว่าไปแกนๆกลางๆไว้ก่อน จนถูกหลายคนประเมินว่าเป็นพรรครอโอกาสเสียบ
จะอยากเสียบหรือไม่อยากเสียบ ก็ไม่ได้ว่าอะไรกันหรอกครับ จุดมุ่งหมายแต่ละคนไม่เหมือนกัน แรงขับเคลื่อนก็แตกต่างเราไม่อาจประนามอะไรกันได้ และไม่ควรด้วย

แต่ปัญหามันอยู่ที่การเลือกตั้งวันที่ 2เมษานี้ มันถือว่าเร็วเกินไปครับ อย่างน้อยก็สำหรับ คุณบรรหาร
ถ้าไม่ร่วมกับฝ่ายค้าน พรรคชาติไทยเองก็ต้องกังวลว่าจะถูกลดขนาด เหมือนอย่างอดีตที่ผ่านมาที่ปรากฏกับบางพรรคการเมือง
อาจจะรวมถึงกระแส ขำขู่ที่ว่า ถ้าคุณบรรหาร ไม่ร่วมลงสัตยาบัน บอยคอต กับฝ่ายค้าน จะมีคนกล่าวหาทันที ว่าบรรหารรับเงินทักษิณ 500 ล้านบาท จริงไม่จริงไม่รู้
ผมไม่รู้ว่า ถ้าคุณบรรหาร อ่านบทความแล้วอาจจะบอกว่าผมเป็นเด็กวานซืน ไม่รู้อะไรแล้วพูดมาก
ผมก็ไม่เถียง เบื้องหลังของรัฐบาลทักษิณที่คุณบรรหารรู้ อาจจะมากกว่าที่ผมได้ยินเยอะ และอาจจะเชื่อถือได้มากกว่า ตลอดจนการมองการณ์ไกล คุณบรรหาร เองอาจจะเห็นว่า การปล่อยรัฐบาลทักษิณบริหารประเทศ อาจเป็นอันตรายจนเกินกว่าจะเยียวยาได้ในอนาคต
ก็เป็นได้
และผมก็ยอมรับว่าไม่แตกฉาน และไม่รู้จริง ยิ่งในยุคที่ข่าวสารสะพัดแพร่อย่างรวดเร็วอย่างนี้
อันใดจริง อันใดเท็จ ยากนักที่จะรู้ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ คือ เราต้องมีสติ แจ่มใส เพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา
ถ้าวันนี้ ข้อมูล ไหนที่ได้มาแล้วผมรู้ไม่จริง หรือไม่รู้จริงๆ ไม่ว่าแหล่งข่าวเป็นอะไร ผมก็จะถือว่าเป็น"ข้อมูล"(information) ก่อนเท่านั้น
ส่วนสิ่งที่เป็นจริงและประจักษ์แจ้ง(fact) นั้นผมถึงจะมองมันให้ลึกซึ้งขึ้น อย่างระมัดระวัง
เพราะ ความจริง นั้นอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากหลายๆสาเหตุก็เป็นได้ และความจริงที่ผมเห็นก็อาจมีเบื้องหลังของความจริงอีกทอดหนึ่ง

สิ่งที่เป็นจริง ที่ผมเห็นคือ ไม่ว่าคุณบรรหารตัวตนแท้ๆ เป็นคนดีหรือไม่ แต่ที่รู้คือ คุณบรรหาร ช่วงดำรงตำแหน่ง เป็นหนึ่งในนายกรัฐมนตรี ที่ทำงานหนักที่สุด ความสามารถของคุณบรรหารนั้น ไม่เป็นที่ประจักษ์มากนัก แต่เรื่องของการทำงานหนักและความตั้งใจได้ถูกยืนยันแล้วว่าเต็มร้อย
หลายอย่างที่คุณบรรหารทำ เป็นคุณูปการแก่ประเทศชาติทีเดียว เช่นเรื่องปฏิรูปการเมือง เป็นต้น เป็นตัวอย่างของการพูดจริงทำจริงของคุณบรรหาร
แต่ ณ ห้วงเวลาตกต่ำของคุณบรรหาร ผมจำได้ไม่เคยลืม ว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้ กระทำย่ำยีอย่างไรไว้บ้างในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นคำรบสอง เมื่อครั้งนายกรัฐมนตรีชื่อ บรรหาร ศิลปอาชา
เผอิญว่า ผมติดตามการถ่ายทอดสด เกือบตลอดเวลาทั้ง3วัน เว้นไปบ้างบางขณะที่ต้องทำธุระส่วนตัวบ้าง ถือว่าเป็นการติดตามการเมืองที่ตั้งอกตั้งใจมากๆครั้งหนึ่ง
พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มุ่งประเด็นการบริหารงานใดๆเลย ส่วนใหญ่มุ่งไปที่การโจมตีคุณบรรหารเป็นหลัก ทั้งเรื่องการศึกษาและชาติกำเนิด แม้กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายยังไม่หยุดพัก ที่จะโยงเอาความไม่จริงเรื่องการเกิดของคุณบรรหารให้ดูน่าเชื่อถือ ทุกวันนี้ผมย้อนคิดกลับไปยังรู้สึกเสียใจ ที่การเมืองไทยมีการดำเนินการทางการเมืองที่ต่ำมากจนน่าใจหาย ไม่นับว่าเป็นเรื่องส่วนตัวแล้วเท่านั้น ยังเอาเรื่องไม่จริงมาทำให้เป็นเรื่องจริง
ที่น่าสลดอดสูใจกว่านั้น ผมเดาว่าหมากสุดท้ายที่พรรคชาติไทยวางเอาไว้ คือการปล่อยให้พรรคฝ่ายค้าน นำโดยประชาธิปัตย์(ที่ลืมไม่ได้คือ คุณอภิสิทธิ์ ที่มีบทบาทมากๆไม่น้อยไปกว่าใคร ในฐานะหัวหอกโจมตีเรื่องการศึกษาของคุณบรรหาร) เอาข้อมูลเท็จนำเสนออย่างต่อเนื่อง แล้วสุดท้าย อ.ชุมพล ก็แสดงหลักฐานหักล้าง เรื่องชาติกำเนิด ชนิดทำให้ คุณชำนิ พรรคประชาธิปัตย์ที่ทำหน้าที่ทหารม้าเรื่องชาติกำเนิดขณะนั้น พูดง่ายๆแบบชาวบ้านคือเสียหมาไปเลย
ผมนอนหลับไปด้วยความสบายใจ ว่ารัฐบาลคงได้บริหารต่อ แต่วันรุ่งขึ้น หัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ กลับลงไปในทางที่ว่า บรรหาร เละ แพ้ย่อยยับ
บทเรียนในวันนั้น ที่เกิดขึ้น คือนอกจากพรรคฝ่ายค้านเล่นเรื่องส่วนตัวได้แล้ว พรรคฝ่ายรัฐบาลก็ไม่คิดจะช่วยเหลือ ซ้ำร้าย สื่อมวลชนก็ไม่สนใจข้อเท็จจริงที่เกิดขี้นอีก
มันทำให้เป็นบรรทัดฐานว่า ถ้าคนจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ นอกจากมุ่งมั่น ทำความดี มีความรู้ ชาติกำเนิดต้องเป็นที่ยอมรับและดีด้วย
ถึงบรรทัดฐานนี้ไม่ได้ถูกเขียนออกมา แต่สังคมก็ได้ซึมซับรับทราบแล้วครับ ณ วันที่คุณบรรหาร ประกาศยุบสภา
ผมจำได้ขึ้นใจแค่ไหน ผมว่าคุณบรรหารต้องจดจำขึ้นใจยิ่งกว่าผมไม่รู้กี่ร้อยพันเท่า

ผมถึงได้ผิดหวัง การตัดสินใจ ของคุณบรรหารอย่างยิ่ง
คุณบรรหาร อาจจะมีเหตุผลร้อยแปด
แต่ คุณบรรหาร ที่ผ่านวิกฤติ แบบพวกมากลากไป สื่อชี้นำมวลชน แบบที่ลากคุณบรรหารลงจากเก้าอี้ทั้งที่ไม่ได้ขาดความชอบธรรมใดๆ กลับจับมือกับคนพวกเดิม ร่วมทำเรื่องราวที่ขัดกับการส่งเสริมประชาธิปไตยด้วยการบอยคอตไม่ลงเลือกตั้งเว้นเสียแต่ว่านายกต้องลาออก ทำได้อย่างไรครับ
คุณบรรหาร อาจจะมองว่าสิทธิในการไม่ลงเลือกตั้งเป็นของคุณบรรหาร ผมคงไม่ขยายซ้ำเรื่องที่ผมได้เขียนไปแล้ว วันนี้ เท่ากับคุณบรรหารตัดสิทธิบางส่วนที่คนจำนวนหนึ่งจะได้แสดงตัวว่าเห็นชอบกับแนวทางของคุณบรรหารไป
และอีกข้อ ก็คือ คุณบรรหาร ไม่น่าปล่อย ให้นักการเมืองรุ่นลูก อย่างอภิสิทธิ์ ชักนำเพื่อประโยชน์ของอภิสิทธิ์เองเป็นใหญ่
วันหน้า พรรคชาติไทย จะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่วันนี้ ด้วยเหตุผลทุกด้าน พรรคประชาธิปัตย์ต้องพยายามให้ พรรคชาติไทยร่วมวงบอยคอต เพื่อสร้างความชอบธรรม ลำพังพรรคประชาธิปัตย์ จับมือกับมหาชน ไม่เกิดน้ำหนักเท่าไหร่หรอกครับ รังแต่จะให้คนครหา ว่ารากเดิมเดียวกันร่วมมือกันก็เท่านั้น

จริงๆก็น่าเห็นใจครับ จะร่วมมือก็ใช่ที่ จะไม่ร่วมมือก็ไม่ได้ สุดท้ายจากการประเมินอย่างละเอียดแล้วคุณบรรหารก็ตกปากรับคำไป และจากนิสัยคุณบรรหารแล้วคงไม่กลับกลาย พลิกลิ้นได้
และวันนี้ที่ผมเขียนบทความก็น่าที่จะสายเกินการ ที่จะแก้ไข ดังคำพูดที่คุณบรรหารให้สัมภาษณ์
แต่ถ้าผมเป็นคุณบรรหาร ณ วันนั้น ผมจะบอกกับสื่อมวลชนว่า
ผมไม่ได้รับเงินทักษิณ แต่ผมยินยอมให้คนว่า ผมว่า ผมรับเงินทักษิณ ดีกว่าให้ผมกระทำเรื่องที่ขัดกับเจตนารมณ์ของประชาธิปไตย ถ้าไม่มีใครกล้าเล่นการเมืองอย่างถูกต้องแล้ว พรรคชาติไทยขอประกาศลงสมัครเลือกตั้งเพื่อเป็นพรรคฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในสภา ดีกว่าปล่อยให้ประชาธิปไตยของไทยเดินไปผิดทาง พรรคชาติไทยขอยึดมั่นในหลักการสำคัญกว่าความอยู่รอดของตัวเองและพวกพ้อง
แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับ ผมเข้าใจดีว่า ภาวะอันกดดันมันเป็นอย่างไร และคนพูดนั้นง่ายกว่าคนทำเยอะ
ถึงวันนี้แล้วถ้าคุณบรรหารจะทำให้มันถูกต้องก็คงไม่ทันแล้ว ผมแค่หวังว่าโอกาสหน้าคุณบรรหารคงไม่ทำลายศรัทธาผมอีก

วันศุกร์, มีนาคม 03, 2549

ถ้าผมเป็น อภิสิทธิ์ + เรื่องที่ผิดหวัง ตอนที่1


เก็บอยู่ในใจพักนึงแล้วครับ พรรคที่จับมือร่วมกันบอยคอต 3 พรรค คือ ประชาธิปัตย์ ชาติไทย และมหาชน (หรือจะพูดอีกอย่าง ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และ พรรคเคยเป็นประชาธิปัตย์)
ถึงแม้ว่า ผู้ที่เสนอจริงๆให้ บอยคอต คือ อภิสิทธิ์
แต่ทีผมผิดหวังจริงๆนั้น ไม่ใช่ อภิสิทธิ์
เพราะถ้าเป็นคนที่ติดตามการเมืองจริงๆ จะรู้ว่า อภิสิทธิ์ โดยเนื้อแท้แล้วเป็นอย่างไร

ถ้าวันนี้ เป็น บัญญัติ คิด ผมจะแปลกใจ ( แกไม่ค่อยริเริ่ม )
ถ้าเป็น ชวน คิด ผมจะอึ้ง ( ปกติแกไม่นอกกรอบ )
แต่เป็น อภิสิทธิ์ ผมเข้าใจ
รากเดิมของการคิด คือ ทำเพื่อชัยชนะ
อภิสิทธิ์ ไม่ใช่คนเจียมเนื้อเจียมตัว อยู่แล้ว เขาเกิดมาแบบหวือหวา และ ก็โตแบบพรวดพราด ไม่ต้องให้มีแหล่งข่าวภายในก็รู้ว่า มีไม่น้อยในพรรคที่คิดว่า ข้ามหัว
ไม้นี้เป็นไม้ตายสุดท้ายของ อภิสิทธิ์ ที่พยายามรักษาความยิ่งใหญ๋ภายในพรรคเอาไว้
ลองนึกภาพแล้วกันครับ ว่า ถ้าครั้งหน้าประชาธิปัตย์แพ้ อะไรจะเกิดขึ้น
ชวนแพ้ ชวนลาออก
บัญญัติ แพ้ บัญญัติ ลาออก
แล้วถ้า อภิสิทธิ์ แพ้ล่ะ มีหรือจะไม่มีเสียงว่าควรทำอย่างไร ต่อให้ไม่มีเสียงก็ต้องออก
แล้วถามว่า มีอะไรบ้างที่คนอย่าง อภิสิทธิ์ น่าจะคิดในหัว
จะได้กลับมาหรือเปล่า แล้ว ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
คงไม่มีโอกาสที่สองแน่นอน เพราะท่ามกลางเสียงอึงๆของคนที่เรียกร้อง ชวน รีเทิร์น ก็มีไม่น้อย
แล้วถ้าหลุดจากนี้ไปอีกสัก 4 ปี มันคงเป็นปีของ หล่อเล็ก อภิรักษ์ เป็นแน่

ชวนลาออก ไม่เป็นไรครับ เพราะเส้นทางการเมืองที่ยาวนาน มันพิสูจน์ตัวเองอยู่พอสมควร ถือว่าจบด้วยการเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ประชาชนชื่นชมที่สุด
บัญญัติ ลาออก จะเป็นไรละครับ เพราะ ใครๆก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นหัวหน้าพรรคขัดตาทัพ มันไม่ได้ไม่เสียยิ่งในภาวะที่แข็งแกร่งสุดๆของทักษิณ ไม่มีใครตั้งความหวังกับบัญญัติหรอกครับ ว่าจะงัดทักษิณลง
แต่ อภิสิทธิ์ มันอีกเรื่อง
เส้นทางของ อภิสิทธิ์ ต้องบอกว่ามันหมดจดงดงามตลอดมา เป็นนักการเมืองที่ไม่เคยถูกชาวบ้านด่า นักวิชาการไม่แตะ แม่ยกเพียบ ไม่มีภาพของนักการเมืองโกงกินแม้แต่น้อย แม้ในขณะที่คนร่วมพรรคตกอยู่ในวิบากกรรม เส้นทางดั่งเทพประทาน ดูไปดูมาคล้ายคลึงรุ่นพี่ชวนที่สุด
แต่ เมื่อฟ้าส่ง อภิสิทธิ์ มาเกิด ใยต้องกำหนดให้มี ทักษิณ เล่า
พลันที่ทักษิณตั้งพรรคการเมือง อนาคตของ อภิสิทธิ์ ก็มีอันเปลี่ยนไป๋
ว่าที่นายกแน่ๆ ทำท่าว่าจะลางเลือน
แต่ อภิสิทธิ์ ก็ยังเป็น อภิสิทธิ์ ที่ไม่ได้หยุดพักความมุ่งมั่น เขายังเชื่อมั่นตัวเองดุจเดิม
ทันทีที่ ปี้ขวน ลง อภิสิทธิ์ ไม่ได้ใช้เวลามากเลยในการตัดสินใจลงชิงชัยกับ บัญญัติ
แม้ในห้วงเวลาที่พ่ายแพ้ บัญญัติ ก็ไม่ได้หยุดคิดสักนิดถึงความรวดเร็วเกินพอดีของตัวเอง
ถ้าผมเป็น อภิสิทธิ์ ผมจะทุ่มเททุกสรรพกำลังที่มีเพื่อหนุนให้ บัญญัติ แข็งแรงอยู่ในตำแหน่งให้ยาวนานที่สุด แม้พ่ายการเลือกตั้งครั้งแรก ผมจะเป็นคนแรกที่บอกว่า พี่ สู้ต่ออีกเถอะ ผมจะช่วยพี่เต็มที่เลย มันไม่ใช่ความผิดพี่ กระแสทักษิณมันแรงเกินไปต่างหาก เป็นผม หรือ ปี้ชวน วินาทีนี้ก็ต้องแพ้
แต่เปล่าเลยครับ ไม่ว่าคุณจะมองเห็นภาพ อภิสิทธิ์ เป็นแบบไหน แต่ภาพที่ปรากฎชัดก็คือ ณ ห้วงเวลาอันยากลำบากของ บัญญัติ ซึ่งอาจจะพอนับเป็นห้วงเป็นห้วงเวลา ที่ลำบากของ ประชาธิปัตย์ ดุจเดียวกัน
อภิสิทธิ์ ปล่อยให้ บัญญัติ "เวิร์ค" เพียงลำพัง ทำตัวเยี่ยง พยัคฆ์บนภูผา ดูหมาไนกัดกัน
แต่ลืมไป 3อย่างว่า ตัวเองไม่ใช่พยัคฆ์ บัญญัติไม่ใช่หมาไน ทักษิณยิ่งไม่ใช่ใหญ่ และสุดท้ายที่ที่ยืนอยู่ไม่ใช่ภูผา
ไม่ใช่ภูผา ครับ แต่เป็นบ้านของตัวเอง คือพรรคประชาธิปัตย์
การวางเฉยนั้น มันบอกชัดครับ ว่า ทำได้ก็ทำไป ไม่มีทางดีได้หรอก ถ้าข้าไม่ช่วย
มันเหมือนคนมาเผาบ้าน แล้วเราก็เกี่ยงกัน ว่าจะให้ใครสั่งการ จนท้ายที่สุดแล้ว บัญญัติ ได้สั่งการ อภิสิทธิ์ ก็ทำเหมือนว่า ถ้างั้นพวกบัญญัติ ก็ทำกันไปแล้วกัน ฉันจะคอยดู ถ้าจะยืมถังละก็พอมีให้นะมาหยิบเอาเองแล้วกัน
แต่ลืมไปน่ะครับ ว่าที่ไหม้อยู่มันบ้านเรา พอ บัญญัติ ส่งไม้ให้ อภิสิทธิ์ ด้วยความเก่งของ อภิสิทธิ์ ก็พอจะทำให้ไฟที่ไหม้แรงนั้นดับมอดลง แต่ที่เหลืออยู่คือ บ้านครึ่งหลัง ครับ จะให้เก่งยังไง ที่เหลือไว้ให้คือบ้านครึ่งหลัง การก่อร่างสร้างใหม่นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย และคนในบ้านเองก็ต้องหนาวสั่นกับกลางคืน และร้อนรุ่มเมื่อแดดแรง ไม่ว่าผลลัพธ์นั้นจะมีความหมายในใจ อภิสิทธิ์ อย่างไร คุ้มค่าหรือไม่ แต่นั่นเป็นผลจากวิถีของ อภิสิทธิ์
พรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน อีกต่อไป มีช่องว่างรอยโหว่ระหว่าง คนใต้กับภาคกลาง แบบที่ต้องใช้เวลาประสานกันชนิดที่ยาวนาน
ยามใดที่ อภิสิทธิ์ ออกตัวไปข้างหน้า ใช่ว่าจะได้เสียงเต็มร้อยจากคนข้างหลัง
ถ้ายามนั้น อภิสิทธิ์ ฉวยโอกาสนั้นไว้ สร้างสภาพที่ บัญญัติ ขาด อภิสิทธิ์ ไม่ได้ หนุนหลังไว้ให้เต็มที่
สิ่งที่ อภิสิทธิ์ จะได้คือใจของคนทั้งพรรค บารมีก่อเกิด ชนิดที่ฉุดไม่อยู่
แถมรั้ง บัญญัติ ไว้เป็นกันชนกับ ทักษิณ
ยิ่งรุนหลัง บัญญัติ ให้เต็มที่ ฟัดกับทักษิณให้เต็มเหนี่ยว บั่นทอนกำลังให้เยอะๆ วันนี้จะเป็นวันที่บัญญัติ นั้นยับเยินแล้วจากการต่อสู้
และทักษิณก็จะเปลี้ยกว่าที่เป็นอยู่
วันนี้จะเป็นเวลาที่ อภิสิทธิ์ จะยืนหยัดได้อย่างสุดสง่า เพียบพร้อมด้วยราศีและบารมี เป็นตัวเลือกที่คนไทยปฏิเสธไม่ได้

แต่วิถึ อภิสิทธิ์ ไม่ได้อนุญาตให้ตัวเองทำอย่างนั้นครับ
กล่าวคือ ด้วยวิธีคิดแบบ อภิสิทธิ์ ไม่เปิดโอกาสให้กับคนอื่นและกับตัวเอง

ฉันใด ฉันนั้น วิถีแบบ อภิสิทธิ์ จึงใช้ออกอีกครั้ง ในรูปแบบของ การบอยคอต
ดุจเดียวกับ ที่ อภิสิทธิ์ ไม่สนใจความเป็นไปของพรรค ไม่คิดถึงส่วนรวมของพรรค
ครั้งนี้ อภิสิทธิ์ ก็ไม่สนใจความเป็นไปของชาติ และไม่มีหัวใจให้กับส่วนรวมที่ใหญ่กว่า อย่าง ประเทศของเรา
บอยคอตครั้งนี้ จึงเป็นการรั้งตัวเองไว้ให้อยู่ในตำแหน่ง และอำนาจสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้เท่านั้น
ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไม ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ถึงได้อยู่ไกลจาก อภิสิทธิ์ นัก
เพราะตำแหน่งนี้ ไม่เคยอนุญาต ให้คนที่คิดได้เท่านี้เอื้อมถึง

พรุ่งนี้จะมาว่ากันต่อ ว่าอะไรที่ผมผิดหวังนัก

วันพุธ, มีนาคม 01, 2549

ฝ่ายค้านบอยคอต ว่าเขาแต่เป็นซะเอง + 313 มาตราเจ้าปัญหา


โอววว... อยากจะเปลี่ยนหัวข้อบล็อค เป็น เมืองไทยไปกันใหญ่จริงๆเลย
นี่ถ้าไม่เห็นกับตา ละ ไม่เชื่อแน่ว่าการเมืองเราจะวิวัฒน์ไปเพียงนี้
ฝ่ายค้านประกาศบอยคอตไม่ลงเลือกตั้ง ถ้าทักษิณไม่ลาออก แล้วยังจะทูลขอรํฐบาลรักษาการณ์ด้วย!
มันอะไรกันครับพี่น้อง
บ้านเมืองเราไม่มีกฏกติกามารยาทกันแล้วหรือไร

ส่วนหนึ่งของผมเชื่อว่า ถ้าทักษิณเป็นนายกต่ออาจมีอะไรไม่ชอบมาพากล
ส่วนหนึ่งของผมเชื่อเหลือเกินว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้ขาวสะอาดไปทุกเรื่องแน่นอน(แม้ว่าจะพูดจาเข้าท่า)
และหวาดระแวงเช่นเดียวกันกับทุกท่านว่า ถ้าทั่นทักษิณเป็นต่อมันจะดีหรือร้าย (แม้ว่าจะมองไม่เห็นใครที่ดีกว่านี้)

แต่ว่า...
ฝ่ายค้านไม่ควรทำเรื่องราวให้มันผิดเพี้ยนบิดเบือนไปถึงปานนี้
ผมเข้าใจว่า ถ้าไม่ทำอย่างนี้ฝ่ายค้านก็ไม่มีอะไรไปสู้รบกับทักษิณ
และก็แน่ใจอีกว่า ถ้าฝ่ายค้านไม่ทำอะไรเลย ทักษิณนั้นแบเบอร์แน่นอน เหลือแต่จะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม
แต่ว่าถึงคนเราจะจนมุมอย่างไร ก็ไม่ควรใช้กระบวนท่าแลกชีวิตแบบนี้ ประมาณกูตายมึงก็ต้องตาย
ยิ่งไม่ควรใหญ่ในการยกอ้างจะบอยคอต บางคนเลยเถิดไปถึงว่า ไม่ยอมให้ทักษิณเล่นการเมืองต่อ ซะขนาดนั้น

มันเหมือนกับว่า เราตัดสินใจแข่งขันกัน ความตั้งใจแต่เดิมคือ หาคนเก่งที่สุด จึงตัดสินใจร่วมกันว่า ว่าจะเล่นหมากรุกกัน
กติกาว่าใครชนะได้เดินก่อน
แต่มีอยู่คนหนึ่ง เล่นชนะตลอด จะทำยังไงยังไง ก็ยังชนะ ช่วยกันคิดแล้วไอ้คนนั้นก็ยังชนะ
อีก3คนที่เหลือนั้นเลยกล่าวหา ว่าคนชนะน่ะต้องโกงแน่ๆ
ที่โกงก็คือพวกกูเนี่ยไม่เก่งหมากรุกแต่มึงหลอกให้กูมาเล่นหมากรุกที่มึงเก่งที่สุด(แต่ตอนเริ่มน่ะโอเคจะเล่นหมากรุกกันทั้งหมด)
จากนั้นก็สรุปกันเองว่า ในเมื่อมึงเล่นเก่งกว่าพวกกูนัก
กูไม่เล่นกับมึง ถ้ามึงจะเล่นต่อตาต่อไปพวกกูต้องเดินก่อน กติกาที่ว่าไว้กูไม่เอาแล้ว
ถ้ามึงยุ่งนัก เดี๋ยวกูจะเล่นกันเอง
หมากรุกนี่แหละแต่พวกกูจะเล่นกันเอง ขืนให้มึงเล่นมึงก็ชนะอีก
สรุปกันไป โดยไม่สนใจผู้ชมการแข่งขันกันเลย คนดูจะชื่นชมหรือไม่ ไม่สนใจ
พาลนึกกันไปเองว่า ไอ้เกมที่มีคนหนึ่งเอาแต่ชนะตลอดน่ะมันไม่สนุกหรอก คนดูน่ะดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจศิลปะการโขกหมากรุกกันซะเลย
ต้องเอาแบบว่าสูสีๆหน่อย เดี่ยวคนดูก็จะรู้สึกว่ามันสนุกเองแหละ
โดยไม่มีใครสนใจจะถามคนดูจริงๆ

คล้ายๆมั้ยครับ กติกาเรามีครับ และเป็นกติกาที่ครั้งหนึ่งใครต่อใครพากันยกย่องชื่นชมเป็นนักหนาว่า นี่มันสุดยอดประชาธิปไตย
แต่เป็นไงครับ พอมันไม่เป็นไปตามหวัง เราก็เปลี่ยนความคิดทันทีว่ากติกานี้มันแสนจะอยุติธรรม
เพราะเราไม่ชนะไงครับ
มันไม่เป็นกติกาที่ทำให้เราชนะ หรือ พึงใจ เราก็จะล้มมันซะแล้ว
สุดยอดประชาธิปไตยตามใจฉัน หรือครับ
ผมไม่ได้บอกว่า เราจะต้องใช้กติกานี้ไปจนชั่วกาลปาวสาน
กฎเกณฑ์ทุกอย่างนั้นมันเปลี่ยนแปลงได้เพื่อให้สมกับยุคสมัย
แต่มันไม่ใช่ว่าเมื่อเราไม่ถูกใจ เราก็จะทำมันง่ายๆอย่างนี้
มีนักวิชาการหลายท่าน พยายามโน้มน้าวว่า การปฏิบัติการของฝ่ายค้านนี้ ยอมรับได้ตามรัฐธรรมนูญและ กฎหมาย คนทั่วไปไม่ศึกษากฎหมายก็จะไม่รู้หรอกครับ ว่ามันทำได้
ผมก็ว่ามันทำได้ครับ แต่มันไม่ควรทำ
ควรแล้วหรือครับ ที่กลุ่มคนที่ว่าทักษิณปาวๆ ว่าเลี่ยงอย่างนั้น เลี่ยงอย่างนี้กับข้อกฎหมาย สุดท้ายก็มายกอ้างช่องว่างช่องโหว่ในบัญญัติเสียเอง มันถูกแล้วเหรอครับ
ถ้ารักชาติจริง เราจะทำอย่างนี้เหรอครับ กฏกติกาที่ไม่ต้องแปลให้มากความมันเห็นกันอยู่โต้งๆ เราก็บอกซะว่าไม่เห็นแล้วเลี้ยวลดไปในช่องโน้นช่องนี้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันขัดกับเจตนารมน์รัฐธรรมนูญ
วิธีการต่อสู้นั้นมีหลายอย่างครับ คุณก็ล่ารายชื่อผู้ที่ไม่เห็นพ้องกับหัวข้อนั้นๆสิครับ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนเห็นกันชัดๆว่าถ้าเก็บกติกานั้นๆไว้มันเสียหายอย่างไร
ถ้ามีคนเชื่อคุณมากพอ ประชาชนอยู่ข้างคุณจริงๆ มันก็ต้องเปลี่ยน ไม่มีใครฝืนมันได้หรอกครับ
อย่าทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไปเปล่าๆกันอย่างนี้เลย

แถมท้าย ถึงคนที่ก่นเรื่องมาตรา 313 ที่เป็นหัวข้อให้ด่าทักษิณ
สำหรับบางคนนะครับ
ที่คุณหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับมาตรานี้ ถามจริงๆเถอะว่าคุณรู้รึเปล่าว่าใจความทั้งหมดมันว่าอะไร
ผมน่ะเห็นมาเยอะแล้วครับ ฉุนเฉียวกันไป พอถามว่าอะไร บอกไม่รู้
เขาว่ากันมา...ก็ว่ากันไป

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 25, 2549

ยุบสภา เพราะว่า วีรชน?


บอกตัวเองแล้วว่าจะไม่ จะไม่จริงๆแล้วเชียว ก็อดไม่ได้อยู่ดี สำหรับเหตุบ้านการเมืองสุดฮ็อตในวันที่24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
เอาจนได้ครับ เคลื่อนไหวกันจนมีผลเข้าจนได้ ในที่สุดนายกรัฐมนตรีของไทยที่มาจากการเลือกตั้ง ถูกคนจำนวนเรือนหมื่นกดดันขับไล่กระทั่งต้องประกาศยุบสภา
เรื่องนี้มีประเด็น 2 อย่างที่น่าพูดถึง
นายกทักษิณเป็นนายกที่มาจากการเลือกตั้ง อันน่าจะถือได้ว่า เป็นการเลือกตั้งที่มีวิวัฒน์อันสูงสุดเท่าที่เคยเป็นมา แต่ก็เป็นนายกที่ต้องยุบสภาจากการที่มีมวลชนจำนวนหนึ่งขับไล่ให้พ้นตำแหน่งในขณะเดียวกัน
ย้อนไปในอตีตครับ เหล่าชนที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นวีรชน 14 ตุลา 16 ตุลา และกระทั่งพฤษภาทมิฬ คือผู้ที่ต่อต้านผู้นำที่เราเรียกกันว่าทรราช ผู้นำเหล่านั้นมาจากการแต่งตั้งโดยทั้งสิ้น และแต่งตั้งกันโดยอำนาจทางการทหารล้วนๆ ที่พูดถึงนี่ก็คือ มีคนบางกลุ่ม พยายามจะใช้คำเดียวกันนั้น กับ กลุ่มคนที่เดินขบวนขับไล่นายกทักษิณในคราวนี้ ว่า วีรชน
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ มติชน นั้นเคยขึ้นหัวจั่ง เป็นเควสขั่นมาร์ค (?) ตามหลัง คำว่า "วีรชน"
มันนาคิดมั้ยครับ น่าคิดมั้ยครับว่าเราจะเรียกได้เต็มปากจริงๆหรือ ว่า เขาเหล่านั้นเป็น วีรชน
นัยยะแห่งวีรชน ในเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์นั้น มันมีคุณค่าในตัวเอง ไม่ต้องรีบร้อนยกย่องกันเองให้วุ่นวายดอกครับ คุณค่าของวีรชนจะปรากฎแม้จะเรียกขานกันด้วยชื่อเรียงเสียงไร แต่ความหมายแห่งคุณค่านั้นอยู่ในเรื่องราวทางใจครับ ไม่ใช่ความหมายในพจนานุกรมอันเป็นสัญญะทางวาจา
มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเคยเรียกร้องกันค่อนข้างถึ่ให้บรรจุเรื่องราวประวัติศาตร์ ของวีรชน 14,16ตุลา และกระทั่งพฤษภาทมิฬ ให้ใส่ไว้ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย (แต่ก็มีการคัดค้าน เดากันว่ากระทบกระเทือนตระกูลเก่าแก่ต่างๆ จะทำให้สกุลเหล่านั้นไม่อาจเชิดหน้าชูคอต่อไปได้ในวงสังคม) สุดท้ายก็ไม่อาจทำไห้สัมฤทธิ์จริง แต่เชื่อเหลือเกินว่าในใจผมและคนไทยอีกหลายคน เต็มใจอย่างยิ่งที่จะให้มีไว้เป็นอนุสรณ์อันทรงคุณค่าให้ลูกหลานได้ระลึกถึงกัน จะได้สำนึกกันว่าตัวกูที่ยังอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปรกติสุขนั้น แลกมาด้วยเลือดและน้ำตาอย่างไร
กลับกันครับ ถามใจคุณว่า คุณอยากจะให้ปรากฎ ในหน้าหนังสือเรียนหรือเปล่า ว่า "วีรชน"รวมตัวกันขับไล่นายกทักษิณผู้มาจากการเลือกตั้ง?
ผมคนนึงละ "ไม่"
อันที่จริงในความเห็นของผมแล้ว เรื่องนี้มันน่าอายออกจะตายไป
วีรชนผู้กล้าที่สละชีพเพีอชาติแก่เราในอตีตนั้น เขาเหล่านั้นรู้เต็มอกครับ ว่าทรราชมีปืนในมือเป็นอาวุธ
รู้อยู่เต็มหัวใจครับ ว่าพฤติกรรมผู้นำเหล่านั้น ถนัดในการใช้กำลังเพื่อรักษาอำนาจ มันไม่ได้แปลกอะไรเลยครับที่จะทราบเพราะอำนาจที่เขาเหล่านั้นได้มา ล้วนแล้วแต่เปื้อนเลือดและใช้กำลังช่วงชิงโดยตรง
กลุ่มคนที่ออกไปต่อต้านนั้น รู้เต็มหัวใจแน่นอนครับ ว่าอันตรายทุกฝีก้าว
ผมกล้าบอกได้เลยครับว่า ทุกคนรู้ว่าจุดจบของเหตุการณ์นั้น อาจหมายถึง ไม่มีวันได้กลับมาอีกก็เป็นได้
แต่เขาเหล่านั้นก็ยินดีครับ ยินดีก้าวออกจากบ้านไปเพื่ออุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ใครก็แล้วแต่ไม่อาจลบหลู่ได้
ไม่ว่าการประท้วงเหล่านั้น แท้จริงมีเบื้องหลังอย่างไรก็แล้วแต่ จะมีคนชักใย มีคนตักตวงผลประโยชน์ ปลุกปั่นเพื่อเหตุผลทางการเมือง
แต่หัวใจของแต่ละคนนั้นเป็นของจริงครับ เขาออกไปเพื่อไปช่วงชิง อำนาจอธิปไตยให้กลับคืนมาแก่คนไทย ให้แก่ลูกให้หลานเรา
แล้วย้อนมาดู กลุ่มคนที่มีบางคนเอ่ยอ้างว่า วีรชน ถามว่าเขาเหล่านั้นกำลังสู้กับอะไรอยู่ ผมแน่ใจครับว่าเขาบางคนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า กำลังออกไปสู้เพื่อชาติ แต่ถามดูเถอะครับว่า มีกี่คนครับที่เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้จะกล้าหันปืนเข้าใส่ประชาชน คุณเชื่อหรือครับว่าคนอย่าง ทักษิณ กล้าสลายม็อบด้วยกำลังทางทหารในระดับเดียวกับทรราชในอตีต (ยิ่งเป็น ทักษิณ คนที่มีขาข้างหนึ่งเกี่ยวพันกับแวดวงธุรกิจอยู่ ยิ่งไม่มีทางครับ)
เอาแค่ว่ามีบางคนเคยอยู่ในพฤษภาทมิฬมาก่อน ถามใจดูเถอะครับว่า ออกไปคราวนั้น กับ คราวนี้ หัวใจที่แบกไปอันไหนรู้สึกว่าเสี่ยงอันตรายกว่ากัน
แค่เอาหัวใจตรงนี้วัดกัน มันก็พอจะบอกได้ว่า อันไหนคือคุณค่าแท้แห่งวีรชน

น่าเสียดายนะครับ ถ้าวีรชนผู้สละชีพในอตีต ลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วพบว่า ลูกหลานที่พวกเขาสู้อุตส่าห์ช่วงชิงคำว่าประชาธิปไตยกลับมาให้นั้น วันนี้กำลังเหยียบย่ำ"ประชาธิปไตย"อยู่
หลักการณ์แห่งประชาธิปไตย มีหลักและแนวทาง ที่เป็นยอมรับกันว่าเราจะถือตามหลักความเห็นของคนหมู่มาก เราจะมีนายกและรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง
แต่ "วีรชน"หยกๆของเราได้ย่ำยีไปเรียบร้อยแล้วครับ คนแค่เรือนหมื่น แต่ได้ล้มกติกาที่คนนับล้านเลือกสรรแล้ว ภูมิใจมั้ยครับ
แค่เขาเหล่านั้นไม่พอใจ คนที่ร่ำรวยกว่า เกลียดคนที่ร่ำรวยกว่า แค่เพียงนั้นก็ขับไล่คนที่คนนับล้านช่วยกันเลือกมาได้ แค่นั้นหรือครับ
แค่คนบางคนรวยกว่าเรา แล้วมันเป็นเหตุผลเพียงพอแล้วหรือครับ ที่เราจะยอมหักหลักการทิ้ง ซ่อนมันไว้ข้างหลัง ตอกตะปูปิดฝาแล้วบอกกับตัวเองว่า "ไม่ละแต่ครั้งนี้เท่านั้นแหละ คนๆนี้ไม่เหมาะสม ดังนั้นขอแต่ครั้งนี้เท่านั้นแหละ เดี๋ยวเสร็จเรื่องราวแล้วเราค่อยหยิบมาปัดฝุ่นขี้นหิ้งใหม่อีกที"
ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณจะโอเคกับเรื่องอย่างนี้มั้ยล่ะครับ เช่นว่า
- เอาน่า เราก็เรียนเก่งอยู่แล้ว แต่เราอยากได้ที่1 ถ้าไม่โกงสักข้อ ละคงต้องเป็นที่2 แน่ ทำเองตั้งหลายข้อแล้ว โกงสักข้อจะเป็นไร ยังไงเราก็ยังเก่งอยู่
- ตำรวจจับคนฉกชิงวิ่งราวได้ แต่ไอ้เจ้านั่นมันชิงของไปเลี้ยงแม่ อย่างนั้นก็คงไม่เป็นไรมั้ง ปล่อยๆมันไปก่อน
คุณจะโอเคมั้ยครับ คุณจะปล่อยๆไปแล้วก็ลืมมันซะว่าครั้งหนึ่ง หลักการของคุณเปลี่ยนไปเพราะมันมีเหตุผลรองรับ
คุณอาจจะบอกว่า นี่มันคนละเรื่อง ขนาดความใหญ่โตของเหตุการณ์แตกต่างกัน แต่ยิ่งขนาดใหญ่โตนี่แหละครับ ยิ่งมีผลสะท้อนสู่ตรรกะทางสังคมอย่างกว้างขวาง
บ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไรครับ ถ้าเราใช้วิธีนี้เป็นครรกะในการตัดสินใจอย่างสม่ำเสมอ ยอมหย่อนย่อหลักการลงเพื่อความสะดวกดายอย่างใจต้องการตลอดเวลา

ถ้านายกทักษิณ ได้ทำผิดกฎเกณฑ์ ผิดกฎหมาย สักอย่างสักข้อเรื่องหุ้นที่ยกอ้างกัน แม้แต่ผมก็ยินดีเป็นแนวร่วมต่อต้านด้วยครับ
แต่นี่ไม่ใช่ครับ เพียงแต่ผิดตามความรู้สึกแห่งเหตุอันไม่เหมาะสมเท่านั้น มันยังไม่ถึงครับ ไม่ถึงขั้นที่ผมเห็นว่าเราควรเก็บหลักการเข้ากระเป๋าแล้วใส่ลิ้นชักเอาไว้
นั่นเป็นประเด็นที่1

ประเด็นที่2 คือผมดีใจครับที่นายกยุบสภา
ดีใจที่บ้านเมืองจะกลับสู่ความเป็นปกติอีกครั้ง ในทันใดที่มีการยุบสภาความตึงเครียดทางสังคมก็ได้ปลาสนาการไปสิ้น
ต้องยอมรับว่าเป็นความฉลาดของทักษิณอย่างยิ่งยวด ในสภาพตกเป็นฝ่ายตั้งรับ และทุกอย่างกำลังขี้นสู่จุดสูงสุดของสถานการณ์ แม้ว่านี่อาจจะเป็นเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามคาดการณ์ไว้ แต่ไม่ได้คาดหวังให้เกิด หรือภาวนาให้เกิดหลังจากมีการชุมนุมในจุดที่จำนวนผู้เข้าร่วม และสถานการณ์ที่ขีดสุดแล้วเท่านั้น
ว่ากันตามจริงเหมือนดังว่า ทักษิณ ยื่นมือไปคว้าหมัดไว้ก่อนที่จะง้างถึงขีดสุด ถ้ารอจนหมัดมาถึงการปะทะย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยง ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังไม่เงื้อ แล้วยื่นมือคว้า อาจต้องตกเป็นฝ่ายรับไปตลอด
ฉะนั้นแล้วการยื่นมือคว้าจับคราวนี้นั้น ช่วงชิงเป็นฝ่ายรุกอย่างหมดจดงดงาม จังหวะเวลาและการตัดสินใจ ลงตัวในทุกๆด้าน
ผมแทบจะกล้าฟันธงเลยว่าทักษิณจะกลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ แม้ไม่เท่าในจำนวนเสียง แต่ยิ่งใหญ่ในด้านศักดิ์ศรี
นี่เป็นห้วงจังหวะที่ฝ่ายค้านกลั้นใจให้พ้นผ่าน มิใช่ไม่อาจคำนวนได้ แต่เป็นห้วงเหตุการณ์ที่จำต้องผ่าน ถ้าทักษิณลังเลไม่ตัดสินใจ ฝ่ายค้านจะรวมกำลังทั้งหมดทุ่มเข้าจัดการในจังหวะเดียวกันที่มีกำลังเสริมจากภายนอก นับว่าหวุดหวิดหวาดเสียวยิ่ง
ถ้าทักษิณยุบสภาก่อนหน้านี้ เพียง 3-5 วัน ทักษิณจะกลายเป็นคนใจเสาะ ไม่สามารถนำใครได้อย่างแข็งแกร่งอีกต่อไป หลังจากนี้อีก 3-5 วัน ฝ่ายตรงข้ามจะรวมตัวกันติด ถึงตอนนั้นถ้าไม่ใช้กำลังเข้าสลาย (ซึ่งทักษิณทำไม่ได้เด็ดขาด เพราะจะเป็นผลเสียต่อทั้งส่วนตัว และส่วนรวม ซ้ำสุดท้ายผลเสียส่วนรวมจะย้อนกลับมาเป็นผลเสียส่วนตัวซ้อนเข้าไปอีก) ก็ต้องลาออกหรือยุบสภา แต่จะเป็นการยุบสภาในขณะที่มีผลเสียหายเกิดแก่บ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว ทักษิณจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว หวงอำนาจ จนถึงอาจจะถูกตราหน้าว่าพ่ายแพ้มวลชน
แต่จังหวะเวลานี้นั้น ทำให้ทักษิณมีความสง่างามทางการเมือง เป็นผู้รักษาผลประโยชน์ของชาติ อีกทั้งยังมีความเป็นลูกผู้ชายมากพอที่จะยอมรับการพิสูจน์จากคนทั้งประเทศ ยิ่งหมัดสุดท้ายจากรายการนายกคุยกับประชาชน เท่ากับว่ากลุ่มประท้วงนั้นขาดความชอบธรรมไปในสายตาคนทั่วไปทันทีในฐานะผู้สร้างความวุ่นวายและไม่สนใจกฎกติกาของสังคม
ฝ่ายค้านเองก็กลืนเลือดอย่างยากลำบาก เนื่องจากมาถึงจุดนี้แล้ว ยังไม่มีบทบาทให้เห็นชัดเจนใดๆยากจะมีเปรียบในสถานการณ์ข้างหน้า ไม่ใช่ว่าฝ่ายค้านไม่มีบทบาทอะไรเลย แต่ภาพของสนธินั้นชัดเจนกว่าในการเคลื่อนไหว แม้ยามที่สนธิพยายามสร้างความชอบธรรมของกลุ่มผู้ประท้วงให้มากขี้น ในห้วงเวลาที่มีเสียงสะท้อนว่าทั่วไปว่า สนธิเริ่มต้นจากผลประโยชน์ของตัวเองก่อน ด้วยการมอบธงการประท้วงให้กับกลุ่มอื่นๆ แต่กระนั้นภาพของสนธิก็ยังแจ่มชัดในความรู้สึกรับรู้ของคนทั่วไปอยู่ดี
ดังนั้นแล้ว เช้าวันนี้ แม้มีเสียงจากทางฝ่ายค้านวิพากษ์ถึงการยุบสภาของนายก ว่าไม่เป็นสิ่งที่เหมาะสมเนื่องจากสภานั้นไม่ได้ผิดอะไร ผู้คนขับไล่นายกจากความประพฤติอันไม่เหมาะสม แต่ก็เป็นเสียงกระท่อนกระแท่นที่ไม่มีน้ำหนักใดๆแก่สังคมเลย เพราะภาพที่ชัดเจนอีกภาพในสังคมคือสภาเท่ากับทักษิณ ดังนั้นแล้วเสียงนี้จึงเป็นความพยายามในห้วงเวลาเพื่อจะยับยั้งความชอบธรรมของทักษิณเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอันจริงจังหนักแน่นแต่อย่างใด กลับกันสะท้อนภาพฝ่ายค้านที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับความเปลี่ยนแปลงอันเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ใหญ่ในอนาคตอันใกล้

วิเคราะห์ซะยืดยาว เกินจากเมืองไทยไม่น่าเลย ไปนิด แต่ก็เถอะนะ มันอดไม่ได้เลยจริงจิ้ง

วันจันทร์, มกราคม 30, 2549

โอ้แม่เจ้า สมภารถูกแทงไม่นับ แต่เดี๋ยว...สมภารมีปืนแต่ยังไม่ทันได้ใช้! มันอะไรกันเนี่ย?#?


ข่าวสลดใจสุดๆของผมประจำสัปดาห์
สมภารวัดหนึ่งในปราจีน ถูกแทงไม่นับ ตายคากุฏิ!
แต่ยังครับ ยังไม่สลดใจ ไอ้ที่สลดใจกว่าคือ สมภารมีปืนเถื่อนในกุฏิ1กระบอก แต่คาดว่าไม่ทันได้ใช้ป้องกันตัว แม่เจ้าโว้ย! พระเค้ามีปืนป้องกันตัวกันด้วยครับ นี่มันปัจจัยไหนของพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ครับ! นี่มันเมืองพุทธหรือเปล่าครับ ทำไมพระต้องมีปืนป้องกันตัวด้วยครับ
ยังครับ ถ้าคุณคิดว่านี่สลดที่สุดแล้ว มันยังไม่ที่สุดครับ ถ้าคุณเป็นคนประเภทอ่านแต่หน้า๑ คุณก็อาจจะโชคดีไม่เจ็บปวดอย่างผม
แต่ผมขอแบ่งปันความเจ็บปวดไว้ ณ ที่นี้ด้วยเถอะ ไม่งั้นมันจะจุกอกตาย
เหตุเกิดตอนกลางคืนนะครับ สมภารคนนี้ (ผมขอใช้ว่า คนนี้เถอะครับ นี่มันไม่ใช่พระแล้ว) คนที่ห่มผ้าเหลืองมา40ปี (คุณเห็นผมเอาสีดำคาดตาผู้ตายมั้ยครับ ผมไม่อยากคาดหรอกครับ ไม่ใช่กล้วว่าคนตายจะเสียหาย แต่มันทนเห็นคนคนนี้เต็มๆหน้าไม่ไหวจริงๆ)
แกรับสังฆทานกลางคืนครับ มันไม่ใช่เวลาแล้ว คุณว่ามั้ย แล้วคาดว่าผิดใจอะไรกันบางอย่างทำให้มีเรื่องราวถึงขั้น จิ้มกันด้วยมีดปอกผลไม้ ผมก็นึกว่าจะจบแล้วละตรงที่แกซ่อนปืนไว้ ซึ่งตำรวจก็สันนิษฐานว่าน่าจะรู้ตัวอยู่บ้างว่าถูกหมายหัวไว้ แต่ไม่ทันได้ใช้
ตำรวจดันชันสูตรพบต่ออีกว่า ตรงไอ้จ้อนของนายคนนี้เปื้อนคราบน้ำอสุจิ โอ้มายก้อดกับพระเจ้าจอร์ชรวมกัน
แถมท้ายค้นในกุฎิยังจะพบ ซีดีโป๊ อีกต่างหาก!
แกบวชมาทำไมตั้ง 40 ปีให้แผ่นดินเมืองไทยมันทรุดเนี่ย ถึงว่าน้ำท่วมมันทุกปี !

นี่ไม่ใช่ข่าวแรกหรอกครับ แล้วผมก็กล้าฟันธงเอาหัวเป็นเดิมพัน ว่าไม่ใช่ข่าวสุดท้ายด้วย
เราปล่อยมันเป็นไปอย่างนี้ได้อย่างไรครับ กรมการศาสนาเดินไปกรมถูกหรือเปล่า ประสบอุบัติเหตุกันบ้างมั้ยครับ
ถ้าทุกวันนี้คุณต้องเดินเอาปี๊บคลุมหัวกันแล้วอย่างนี้ (ถ้ายังไม่รีบไปหา ระวังขาดตลาดเอานะครับ เตือนด้วยหวังดี)

มันถึงเวลาหรือยังครับ ที่เราจะสังคายนาพระสงฆ์กันสักรอบสองรอบ รอบเดียวไม่พอครับ เอาให้คนชั่วมันเบื่อไปข้างเอาให้เขตพัธสีมาเป็นที่ไม่น่าอยู๋สำหรับคนเลวไปเลย
เอาให้เหมือนประกาศสงครามกับยาเสพติดเลยดีมั้ยครับ พระดีๆเขาไม่บ่นหรอกครับ คนที่จะบ่นนั้นมัน"คน"ที่ไม่ใช่พระ
เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนในสายตาของใครในรัฐบาล แต่มันเป็นวาระเร่งร้อนของสังคมครับ กว่าคุณจะแก้ปํญหาความยากจนเสร็จ คนเลวอาจจะเต็มวัด คุณจะไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจกันอีกแล้วก็ได้
ที่ยึดเหนี่ยวตอนนั้นอาจจะเป็นโบสถ์คริสตจักรทั้งหมด มันไม่ใช่ไม่ดีหรอกครับ แต่เราก็คงจะเรียกเมืองไทยว่าเมืองพุทธไม่ได้อีกแล้ว

เราจะสอนให้ลูกหลานของเราประนมมือกราบพระสงฆ์ได้อย่างไร ถ้าเราไม่แน่ใจว่านั่นคือสงฆ์แท้หรือเปล่า หรือเอาผ้ามาคลุมเฉยๆ
พุทธะ มันอยู๋ที่ใจ จริงครับ แต่ความเสื่อมมันก็มีจริง
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นไม่มีวันเสื่อม เพราะเป็นความจริงอันสูงสุด อันสุดท้าย ที่ไม่ว่าใครจะทำเลวระยำอย่างไร ก็ไม่อาจแปดเปื้อนให้มีราคีได้ แต่ความจริงอันนั้น มีวันหยุดสืบทอด หยุดสืบสานได้จริงเช่นกันครับ ถ้าไม่มีเนื้อนาบุญมาสานต่อ
ผมไม่ได้บอกว่าทุกวันนี้ เราจะหาเนื้อนาบุญอันจริงแท้ ไม่ได้แล้วก็มิได้
แต่คนนุ่งผ้าเหลืองพวกนี้กำลังทำให้ เนื้อนาบุญนั้นลดจำนวนลง แม้ว่ามันไม่ได้อยู่ที่ปริมาณแต่มันอยู่ที่คุณภาพอย่างที่ใครบางคนพยายามบอก
แต่คุณครับ สมัยพระพุทธเจ้านั้น บนโลกนี้มีคนกี่ล้านคนกัน ถ้านับแต่ว่าในเฉพาะอินเดียนั้น ยิ่งแล้วใหญ่
พระสงฆ์ที่มาชุมนุมโดยไม่ได้นัดหมายนั้น มีถึง 1,250 รูปที่เราแน่ใจได้ว่าเป็นเนื้อนาบุญอันบริสุทธิ์
แต่ประเทศไทยเราตอนนี้มีคนมากกว่า 60 ล้านคนนะครับ
พระสงฆ์แท้เอาสัก 20,000 รูป ก็พอ คำนวนคร่าวๆเท่ากับ 1 ต่อ 3,000 เชียวนะครับ แล้วถามใจคุณจริงๆเหอะว่าคุณกล้าคิดมั้ยว่า เราจะมีสงฆ์แท้ขนาดนั้น
ความจำเป็นในการมีศาสนานั้น อยู่เคียงคู่กับมนุษย์มาตลอดประวัติศาสตร์ครับ เป็นสิ่งอันขาดไม่ได้ในการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของชนชาติ ความเสื่อมในใจคนผู้ไม่ละอายต่อบาปนับวันมันมากขึ้น
ดังนั้นการมีพระดีๆนั้นเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้มากเหลือเกินครับ
วันที่เรามองของสูงแบบนั้น แล้วย้อนมองตัวเองจะได้รู้สึกว่าตัวกูนั้นมันชั่วเกินไปหรือเปล่า
อย่าให้เป็นลักษณะที่ว่า พอเราทำชั่วไปแล้ว พอมองออกไปเห็นก็นึกขึ้นมา กูยังไม่ได้ชั่วที่สุดดอก ไอ้คนที่มันเอาผ้าพระมานุ่งมันยังชั่วกว่าตัวกูเป็นไหนๆ

วันศุกร์, มกราคม 20, 2549

กัดลิ้นขาด ทางสู้ของลูกผู้หญิง+ลูกผู้หญิงด้วยกันทำกันได้ลงคอ


เรื่องติดค้างหัวใจช่วงนี้เรื่องนึงคือ เรื่องนักร้องสาว คุณพัชรี (ขอโทษนะครับจำนามสกุลไม่ได้) สู้ชายที่จะข่มขืนด้วยการกัดลิ้นขาด เดชะบุญ มีสิบล้อคนดีมาช่วย ไม่งั้นเราท่านก็ไม่อาจรู้ชะตากรรมของเธอได้ครับ
เรื่องนี้เป็นข่าวดัง เพราะปัจจัจหลายอย่าง ถ้าเป็นคนตามข่าวอาชญากรรมจริงๆ คนที่ถุกข่มขืนมีเยอะครับ ไม่รู้ว่าผู้ชายเรามันไม่มีที่ลงกันหรือยังไง ที่ปลดปล่อยมียิ่งกว่าดอกเห็ด ไม่ไป เลือกที่จะบังคับขืนใจเขาให้มันเป็นเรื่องราว แต่อย่างที่บอกครับ เรื่องที่ไม่เป็นช่าวดังอย่างนี้ก็เยอะครับ ที่เป็นข่าวได้เนี่ยก็เพราะ 2 อย่าง
1. เธอสู้ครับ ผู้เสียหายสู้ กัดลิ้นขาด
2. มีพลเมืองดี เข้ามาช่วย อย่างที่รู้แหละครับว่าเราหาคนที่เสี่ยงยุ่งเรื่องคนอื่นอย่างนี้หายากเหมือนกัน
ดังนั้นแล้วเรื่องนี้มันจึงดัง
แต่ดังขี้นไปอีกแน่ะ ก็ตอนที่ คนขับแท็กซี่ ผู้ที่ผมจะขอเอ่ยนามไว้เป็นเกียรติแก่วงตระกูลไว้ที่นี้ นายไพโรจน์หรือนายสมพร อยู่พูล มีภรรยาชื่อ นางนางอำพรรัตน นาเขียวงาม ผมก็ไม่รู้ได้ว่าแต่งงานกันหรือเปล่าเพราะข่าวไม่ได้บอก นามสกุลก็ไม่ตรงกัน หรือเธอจะเคยใช้นามสกุลคนอื่นมาแล้วก็ไม่ทราบได้ และไม่ใช่ประเด็นครับ ประเด็นคือ เธอโดดออกมาปกป้องสามี อย่างหัวชนฝาเลย ผมยืนยันเลยว่าหัวชนฝา
เนี่ยแหละครับที่มันทำให้ดัง เพราะมันไม่เคยมาก่อนเลยที่ภรรยาของผู้ต้องสงสัยจะโดดออกมาปกป้องกันขนาดนี้ และก็ไม่มียุคไหนอีกแล้วครับนอกจากยุคนี้ที่เปิดโอกาศให้ตอบโต้ได้ทางโทรทัศน์โดยเฉพาะรายการถึงลูกถึงคนของคุณสรยุทธ หรือ พ่อบ่างของท่านนายกทักษิณ (แหมมันน่ารักน่าหยิกนะชื่อเล่นเนี่ย แต่คนตั้งเนี่ยไม่รู้ว่าอยากจะแค่หยิกหรือเปล่าสิ )
เอาใจความหลักๆนะครับ นางอัมพรรัตน อ้างว่า สามีไม่ได้ข่มขืน แต่มีการสมยอมกัน แล้วยังไงไม่รู้แหละเรื่องของคนสองคนในรถเราไม่อาจจะรู้ได้ ทำไมกัดลิ้นกันก็ไม่รู้ แต่หนูเชื่อผัว
ส่วนนางพัชรีน่ะ หนูฟันธงร้อยทั้งร้อยของนักร้อง ต้องขายตัว เพราะหนูน่ะอยู่ในวงการนี้เคยเป็นนักร้องเหมือนกัน (อ้าว) แค่เนี่ยครับหลักๆ เธอไม่ได้มีประเด็นอะไรมากคุยไปมาก็วนๆอยู่ที่เดิมจะมีร้อยแปดพันเก้าเหตุผล หนูก็เชื่อผัว สงสารคุณสรยุทธแทน เพราะแกก็วนถามอยู่นั่นแหละว่าฟังขนาดนี้แล้วยังมั่นใจอีกรึ ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุกาณร์ แต่เธอก็ยืนยันคำเดิมอยู่ดี
ผมก็ดูไปเรื่อยๆแหละครับ มาถึงบางอ้อก็ตอนสุดท้าย ว่าการที่นางอัมพรรัตน ตัดสินใจทำอย่างนี้เนี่ย คือเธอตั้งใจใช้สื่อครับ โดยที่เธอหลุดออกมาว่า เธอมีทนายพร้อมสู้คดีแล้ว
ผมขอลงด้วยความเห็นผมเองนะครับ โพลโดยตัวผมเองนี่แหละ ว่าเท่าที่พบปะคนรู้จักมักจี่กัน ก่อนหน้าที่นางอัมพรรัตนจะออกมาคือเชื่อคุณพัชรี 101เปอร์เซ็นต์ (เกินร้อย) แต่หลังการแถลงของภรรยาจำเลยเหลือน่าจะ 99 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่า นายสมพรทำความผิดจริง โดยที่ในกลุ่มที่เชื่อว่านายสมพรผิดจริง อาจจะลังเลบ้างว่า อันที่จริงแล้วคุณพัชรี มีนอกมีในพูดไม่หมดไม่จริงรึเปล่า
ซึ่งถือว่าในการใช้สื่อเป็นเครื่องมือ นางอัมพรรัตน ถือว่าทำสำเร็จในแง่ดึงแรตติ้งคุณพัชรีได้ ให้คนเชื่อถือเธอน้อยลง แต่ในทางกลับกัน มันไม่ได้ทำให้เรตติ้งฝ่ายจำเลยดีขึ้นแม้สักส่วนเสี้ยว
ผมเดาว่า ทนายจำเลยเป็นคนแนะนำให้ทำอย่างนี้ครับ
จำได้มั้ยครับว่าสมัยลูกคุณเฉลิม ถูกกล่าวหาว่ายิงดาบตำรวจในผับ มันก็ลูกเล่นนี้เหมือนกัน ต้องหนีไปก่อนเพราะถ้าไม่หนี กระแสจะพัดให้ผิดแบบเต้มร้อย โดนหนักแน่นอน
แล้วพอหลังๆก็มุกเดียวกัน พยายามดิสเครดิตฝ่ายโจทย์ก็แบบเดียวกัน เช่นดาบตำรวจก็เมาเหมือนกัน จนยื้อไปมาท้ายที่สุด น้ำหนักพยานกลายเป็นเจือจางซะนี่ แน่ละครับ เวลาผ่านไปใครจะมานั่งจำได้หมดทุกรายละเอียดกัน ยังไม่ต้องรวมว่าเบื้องหลังจะมีอะไรยังไงหรือเปล่าอีกต่างหาก
ทนายของจำเลยคราวนี้ก็ยืมมุกเดิมๆมาใช้อีก แต่ทีนี้มันโหดร้ายไปนิดตรงที่ ปล่อยให้ลูกผู้หญิง กระทำต่อลูกผู้หญิงได้

ผมไม่บอกละครับว่าคนที่ผิดจริงๆน่ะใครกันแน่นั่นให้เป็นเรื่องในชั้นศาลสู้คดีกันดีกว่า
ผมก็เพียงแต่เชื่อเอาเองละครับว่านายสมพรเนี่ยผิดจริงๆ (อ้าว) แต่ไม่อ้าวละครับผมมันคนๆเดียวที่มีความเชื่ออย่างนั้นคุณเชื่อตามหรือไม่เชื่อตามก็ตามแต่วิจารญาณส่วนบุคคล ของใครของมันครับ
แต่ที่เล่ามายาวๆเนี่ยคือ ไอ้เหตุการณ์อย่างเนี่ยมันแย่น่ะครับไอ้ที่แย่กว่าก็คือ ผมรู้ว่าคนที่เชื่ออย่างผมเนี่ย มีส่วนหนึ่งครับ ที่เขว
คืออุตส่าห์เชื่อถือลูกผู้หญิงคนหนึ่งมาแล้วระดับหนี่ง แต่มาเขวเอาตอนที่มีผู้หญิงอีกคนออกมาพูดจาไร้เหตุผล แล้วก็พาคนเขว
คือรูปคดีน่ะผมไม่ห่วงหรอกครับ เพราะไงๆเสียเธอก็ต้องชนะคดีอยู่แล้ว
แต่ในด้านสังคมสิครับ ที่ผมเสียดาย เพราะไม่ว่าเธอจะก่อหรือไม่ก่อก็แล้วแต่เธอไม่ใช่คนผิด แต่ก็มีคนไม่น้อยที่รับฟังเรื่องที่ไม่น่ารับฟังแล้วเปลี่ยนวิธีมองเธอ
ทำไมไม่น่ารับฟังครับ
1. ก็เพราะคนพูดนั้น เชื่อถือไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ฟังแต่เขาเล่าเอาทั้งนั้น
2. เพราะคนพูดนั้น ไม่รับฟังเหตุผล ไม่ว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลใดๆ ก็ถือว่าไม่ได้ยินเสียอย่างเดียว คนแบบนี้มีค่าให้ควรไปฟังอะไรจากเขามั้ยครับ ต่อให้ศาลตัดสินชี้ขาดก็ไม่สนใจอยู่ดี
3. เพราะคนพูดนั้น ใจร้ายเกินไปครับ จากข้อ1และ2 เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะพูด แต่ยังออกมาพูดอาจจะด้วยตามคำแนะนำของทนาย ก็แล้วแต่ แต่ก็นับว่าใจร้ายอยู่ดี เพราะเป็นเจตนาให้ร้ายผู้หญฺงอีกคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็ได้ประสบกับเรื่องร้ายๆมาแล้วเปรียบได้กับ คนที่ขโมยของจากผู้ประสบภัย อีกทีนึง ซึ่งชั่วร้ายยิ่งกว่าธรรมดา

ประเด็นที่ผม มั่นใจคือ คณพัชรี เป็นฝ่ายถูกกระทำ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าด้วยสาเหตุแบบไหนหรอกครับ
เอาแค่ว่า สมมุติ นะครับ สมมุติ
สมมุติ คุณพัชรี ขายบริการจริงอย่างที่นางอัมพรรัตนอ้างมาจากปากนายสมพรอีกทีหนึ่ง
มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปกัดลิ้นเขา เว้นเสียแต่เธอไม่ยินยอม
ไม่ยินยอมก็คือไม่ยินยอมครับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ไม่จ่ายหรือจ่ายไม่ครบ มันก็คือไม่ยินยอม ไม่ยินยอมก็คือข่มขืน
เมื่อเป็นเหตุการณ์ข่มขืนแล้ว ไม่มีใครหรอกครับ ที่ไม่ยินยอมแบบสบายใจ มันเจ็บปวดกันทุกคน

ผมจำได้ว่า หลายปีก่อน มีหนังฮอลลีวู้ด เรื่องหนึ่งชื่อ The Accused นำแสดงโดย คุณโจดี้ ฟอสเตอร์ นักแสดงสาว(ในขณะนั้น) มากความสามารถ เธอเล่นเป็นโสเภณี ที่ถูกรุมโทรมข่มขืนในบาร์ด้วยชายฉกรรจ์หลายคน เรื่องนี้ก็เล่นตรงประเด็นนี้แหละครับ ที่การเป็นหญิงขายบริการ ทำให้สิทธิความเป็นคนหดหายไปหรือเปล่า มันไม่จำเป็นเลยที่ผู้หญิงคนหนึ่งเสียตัวเป็นร้อยครั้งด้วยความเต็มใจ จะไม่มีสิทธิปฏิเสธหนึ่งครั้งที่เธอไม่เต็มใจ มันไม่ได้หมายความว่าเป็นโสเภณีแล้วเธอจะต้องพร้อมที่จะแบให้แก่ทุกคน ทุกที่ และทุกสถานการณ์

ดังนั้นแล้วสถานการณ์ของคุณพัชรี ก็เป็นดุจเดียวกัน ผมไม่ได้บอกว่าคุณพัชรีขายบริการ แต่จะบอกว่าถึงแม้เธอจะขายบริการ
ก็ไม่มีความสมควรใดๆที่จะมีผู้ใดมองเธอด้วยสายตาตั้งคำถาม เพราะ เธอก็ไม่ผิด!