เมืองไทยไม่น่าเลย!: คุกคามสื่อ สื่อคุกคาม จากแฝดถึงจ.เจตน์ จากอาจารย์วรเจตน์ถึงกนก

วันพฤหัสบดี, เมษายน 05, 2555

คุกคามสื่อ สื่อคุกคาม จากแฝดถึงจ.เจตน์ จากอาจารย์วรเจตน์ถึงกนก

เรื่องราวเป็นเรื่องราวใหญ่โตของคนเล็กในสังคมไทย ปรากฏเป็นข่าวหน้าหนึ่งในเร็วๆนี้ มีสองเรื่อง เรื่องอาจารย์วรเจตน์ถูกพี่น้องฝาแฝดบุกเข้าทำร้ายถึงธรรมศาสตร์ อีกเรื่องหนึ่งคือจ.เจตน์และพวกเข้าพบคุณกนก วงรัตน์ที่ อสมท.
เรื่องแรกถูกพูดถึงพัวพันเข้ากับเรื่องที่สอง เพราะ จ.เจตน์กล่าวหาว่าคุณกนกเป็นสื่อส่วนหนึ่งที่ทำการยั่วยุให้มีความเกลียดชังกันในสังคม โดยเฉพาะเรื่องมาตรา 112 ทำให้เป็นเหตุให้อาจารย์วรเจตน์ถูกคนต่อย เพราะว่าถูกbuildให้ของขึ้นโดยคุณกนกเป็นส่วนหนึ่งที่buildกับเขาด้วย
แนะนำว่าไปหาดูใน youtube นะครับ เพราะน่าสนใจมากทีเดียวกับการสนทนาในครั้งนั้น
สรุปพอได้ว่า คณะจ.เจตน์ (ต้องบอกว่าเป็นคณะนะครับเพราะว่าไปกัน 7คนเห็นจะได้ นับไม่ละเอียดนะ) ไปกล่าวหาคุณกนกด้วยความรู้สึก ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ในขณะที่คุณกนกยืนยันว่าหลังเลือกตั้ง แพ้ชนะ ปรากฏ เขาไม่เคยแสดงอาการเข้าข้างหรือฝักใฝ่ฝ่ายใดเหมือนก่อนการเลือกตั้ง
สอบกันไปมา สาเหตุมาจาก เฟซบุ๊ค ของคุณกนกที่หนังสือพิมพ์นำไปเล่นข่าวแล้วทำให้ผู้คนเข้าใจเนื้อหาที่คุณกนกสื่อออกมารุนแรงขึ้น ซึ่งคุณกนกก็ยอมรับว่า ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะว่าไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์จริงๆ จึงให้ความเห็นว่า พ่อแม่ของกลุ่มคนนี้ไม่เคยเล่าให้ฟังหรือว่าในหลวงทรงมีพระราชกรณียกิจเพื่อคนไทยมามากมายเพียงไหน เป็นที่มาของการสรุปในหน้าข่าวว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน เหล่าคนที่มาก็เลยเริ่มทำความเช้าใจกับความเห็นและคำพูดจริงๆของคุณกนกบ้าง
แต่สุดท้ายคณะจ.เจตน์ ก็ยังติดใจอยู่ว่าคุณกนกเป็นสื่อกระแสหลัก ทำไมเลือกข้างให้เห็น ยิ่งเป็นช่องฟรีทีวียิ่งมีความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจคน จะไม่อยู่ในหน้าจอก็แล้วแต่ แค่เฟซบุ๊คก็ชี้นำคนได้แล้ว
การพูดคุยกันมีอารมณ์ของผู้พูดปรากฏให้เห็นเป็นระยะ แต่ไม่มีความรุนแรงให้เห็น ตอนท้ายยังมีการจับไม้จับมือถ่ายรูปกัน
แต่ว่าเรื่องนี้น่าสนใจ ประเด็นที่น่าสนใจมีทั้งสองฝ่าย
จ.เจตน์และกลุ่มเสื้อแดง มีความต้องการอะไรจึงไปพบไปแสดงความคับข้องใจต่อคุณกนก พวกเขาต้องการให้คุณกนกที่เป็นสื่อเสนอข่าวไม่เลือกเข้าข้างอย่างชัดเจน ไม่อยากให้คุณกนกยิ้มมุมปาก มีอาการเยาะหยัน หรือมีเสียงถอนหายใจเมื่อไม่ชอบใจ
นี่ใช่การคุกคามสื่อใช่หรือไม่
หลายคนบอกว่าใช่ แต่ผมว่าไม่ใช่ นี่ไม่ใช่การคุกคามสื่อ แต่เป็นการคุกคามเสรีภาพของคุณกนก ถามว่าในตำแหน่งที่สามารถพูดต่อคนไทยทั้งประเทศได้ ในฐานะคุณกนกที่มีรายการผ่านช่อง9อสมท มีความสามารถในการโน้มน้าวผู้คนได้มั้ย มันก็ได้ ต้องยอมรับ
แต่อย่าลืมนะว่า คนทั่วไปไม่ใช่ใครจะจูงจมูกง่ายๆ ไม่ใช่ใครไหนอื่น พวกท่านเสื้อแดงก็ไม่ใช่ว่าจะเชื่อคุณกนกนี่นา ไม่เช่นนั้นคงไม่มาหาถึงอสมท.
ที่สำคัญ รายการของคุณกนกไม่ใช่รายการข่าว แต่เป็นรายการเล่าข่าวจนถึงวิเคราะห์ข่าว ดังนั้นคุณกนกเป็นสื่อน่ะใช่ แต่ไม่ใช่ผู้สื่อข่าว คุณกนกเป็นนักจัดรายการ เหมือนที่คุณจ.เจตน์เป็น อย่างนั้นแล้วจึงเป็นสิทธิของคุณกนก ที่จะทอดถอนใจ ยิ้มหัว และเหน็บแนม ตราบเท่าที่มันไม่ลุกลามไปจนถึงการหมิ่นประมาท เพราะถ้ามันเป็นการหมิ่นประมาทเมื่อไหร่มีสิทธิถูกฟ้องได้ครับ การเป็นสื่อไม่ได้คุ้มกะลาหัวได้ทุกเรื่อง
ถ้าคุณจ.เจตน์ทำได้ คุณกนกก็ต้องทำได้ครับ ไม่สำคัญว่าอยู่ในกระแสหลักกระแสรองอะไร แต่มันเป็นสิทธิเสรีภาพ ถ้าคนเสื้อแดงทำได้ คนไม่ใช่เสื้อแดงก็ต้องทำได้ คุณกนกต้องทำได้
คณะจ.เจตน์มาผิดประเด็นไป ถ้ามาเพื่อแสดงความน้อยใจที่คุณกนกไม่เข้าใจพวกตน ผมว่าอันนี้ทำได้ ถ้ามาเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับความคิดบางเรื่องของคุณกนก อันนี้ทำได้ แต่ถ้ามาห้ามคุณกนกแสดงออกอันนี้ล้ำเส้นครับ
แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน
ปัญหามันอยู่ที่ อสมท. ครับ มันอยู่ที่คณะ ฉ น ย +13 +18 ทั้งหลายครับ
ให้เรตติ้งรายการทุกเรื่อง ลืมให้เรตติ้งรายการนี้ไป
เพราะนี่มันไม่ใช่รายการข่าว มันเป็นรายการวาไรตี้ที่มีข่าวเป็นtheme
และนี้มันไม่ใช่รายการที่เหมาะกับคนดูทั่วไป จึงต้องให้เรตติ้ง ผมให้ประมาณ เยาวชนต้องได้รับการแนะนำจากผู้ปกครอง หรือต่ำกว่า13 ห้ามดู เท่ากับซิทคอม”เป็นต่อ”เลยครับ
และ อสมท. เองครับ ที่ไม่บอกคนดูว่านี่ไม่ใช่รายการข่าว
เฉกเช่นกับหนังสือพิมพ์ที่เอาคุณกนกไปขาย ที่เป็นประเด็นที่ผมพูดถึงมานานแล้วว่า ในหน้าหนึ่งที่เป็นข่าว กลับใส่ความคิดเห็นเข้าไปทำให้คนสับสนกับข้อมูลและความเห็น แล้วในที่สุดวันนี้คนที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้คนสับสนกับข้อมูลและความเห็น ได้ตกกลายเป็นเหยื่อของคนประเภทเดียวกันไปแล้ว ขำไม่ออกละทีนี้
ถ้าผมเป็นคุณกนก ผมจะฟ้องหนังสือพิมพ์ แต่คุณกนกคงไม่ทำเพราะว่าเป็นคนแวดวงเดียวกัน
ในทางกลับกันผมว่าสื่อน่ะแหละ ที่คุกคามสังคม
สื่อไม่ยอมจัดระเบียบตัวเองให้ชัดเจน ใครเป็นสื่อใครเป็นนักข่าวใครเป็นนักจัดรายการ ไม่ทำให้มันชัด เสียดายจริงๆที่คุณวิสุทธิ์ คมวัชระพงศ์ นายกสมาคมนักข่าวไม่ฉวยโอกาสนี้ชี้แจงให้ประชาชนรับทราบและเข้าใจ กลับให้สัมภาษณ์หลบเลี่ยงประเด็นไป(ในความเห็นของผม) ลองคิดดูให้ดีๆ เทียบกันให้ชัดเจน รายการข่าวข้นคนข่าว ไม่ใช่รายการข่าว แต่รายการข่าวสามมิตินั่นแหละที่เป็นข่าวเพราะเนื้อหามันคือข่าวไม่ใช่ความเห็น รายการเรื่องเล่าเข้านี้ก็ไม่ใช่รายการข่าว ก็คุณสรยุทธก็บอกแต่แรกแล้วว่ามันเป็นเรื่องเล่า
สื่อไม่ทำให้ชัดเจนว่าหน้าหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งเป็นหน้าข้อมูล ส่วนหน้าสองหน้าสามถ้ามีใครเขียนแสดงความเห็นก็เป็นคอลัมน์หนึ่งไม่ใช่ข่าว ไปเปิดดุเถิดครับ ถ้าตัดความเห็นออกพื้นที่ข่าวมีนิดเดียว
สื่อไม่ยอมทำตัวเป็นผู้ให้ข้อมูล ทำตัวเป็นผู้ขอข้อมูลอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะสร้างสังคมอุดมปัญญาโดยเริ่มชี้นิ้วที่ตัวเองก่อนว่าเป็นผู้ที่สมควรต้องรับผิดชอบ แต่กลับชี้นิ้วใส่คนอื่นตลอดว่าประชาชนส่วนใหญ่ขาดการศึกษาเชื่อเรื่องงมงายและเชื่อคนง่าย สามารถซื้อได้ด้วยเงิน แต่ตัวเองเอากล้วยออกลูกมาอยู่หน้าหนึ่ง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
ส่วนคณะของจ.เจตน์ได้ทำอะไรลงไปบ้าง นอกจากหนึ่งในนั้นคือการนำสิ่งที่ถูกกระทำไปทำกับคนอื่น ในขณะที่เรียกร้องความสามารถในการแสดงออกทางความคิด กลับคิดไปปิดกั้นการแสดงออกทางความคิดของผู้อื่น แถมยังขีดขอบเขตให้บุคคลคนหนึ่งแสดงความเป็นข้างใดข้างหนึ่งอย่างเปิดเผย ทั้งๆที่เขาอาจไม่ได้เป็นข้างนั้นทั้ง100เปอร์เซ็นต์
ถ้าหากทำอย่างนั้น แม้ได้ลงมือต่อยก็เหมือนได้ต่อยอย่างฝาแฝดที่ต่อยอาจารย์วรเจตน์ เพราะไม่ได้เดินทางไปเพื่อสะสางทางความคิด แต่เดินทางไปเพื่อขับถ่ายของเสียทางอารมณ์ออกไป ซึ่งมีผลลัพธ์เท่ากันทางจิตใจ เพียงแต่ไมได้ใช้ความรุนแรงเท่านั้น
การแสดงตนของคนเสื้อแดงเองไม่ได้ใช้เหตุและผลเต็มที่ ถึงแม้จะน่ายกย่องในแง่ไม่ได้ใช้ความรุนแรงทางกายภาพ แต่ความรุนแรงในเนื้อหานั้นมีอยู่อย่างชัดเจน ดังนั้นจึงเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
เพราะอะไร หนึ่งเพราะคนเสื้อแดงด้วยกันอาจมีความรู้สึกสะใจ นิยมยินดี ยกย่องชมเชยมากมาย คนเสื้อเหลืองก็ยังคงเกลียดชังต่อฝ่ายตรงข้ามไม่เสื่อมคลาย ย่อมมีการด่าทอเป็นธรรมดา แต่คนที่อยู่ระหว่างคนสิบห้าล้านคน กับสิบเอ็ดล้านคนนั้น พวกเขายินดีด้วยหรือ
ไม่มีทาง ไม่มีทางที่พวกเขาผู้อยู่ตรงกลางจะนิยมยินดีในการกระทำนี้ ยิ่งเจตน์จำนงของกลุ่มจ.เจตน์โดยภาพรวม คือการได้รับคำขอโทษจากคุณกนกแล้ว ยิ่งไม่ได้สร้างการยอมรับในทางความคิดให้เกิดขึ้น
โดยสรุปเป็นการเคลื่อนไหวโดยใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง หากประชาธิปไตยต้องพึ่งพากำลังพวกเขาเป็นสำคัญแล้ว นี่ย่อมเป็นการเคลื่อนไหวที่ขาดคุณภาพอันหนึ่ง
สมควรอย่างยิ่งที่จะทบทวนทั้งผลลัพธ์และวิธีการ เพื่อให้การเคลื่อนไหวในครั้งต่อๆไป เปี่ยมด้วยคุณภาพและข้อมูล ไม่ประเมินคู่ตรงข้ามต่ำเกินไป
ในทางตรงกันข้ามต้องชื่นชมคุณกนก ผู้สนทนากับคนสามถึงหกคนโดยไม่หลงประเด็น แม้กรอบความรอบรู้และกรอบความคิดของคุณกนกไม่ได้เปิดกว้าง เพราะคุณกนกก็ยอมรับเองว่าไม่ได้ศึกษาข้อเสนอของนิติราษฎร์โดยละเอียด แต่ความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์นั้นยอดเยี่ยม ทั้งน้ำเสียงและภาษากาย ไม่น่าแปลกใจที่คุณกนกเป็นลีดเดอร์ในการนำเสนอข่าวของฝ่ายเนชั่นมาตลอด
สุดท้าย เราได้อะไรจากการสนทนาครั้งนี้ อย่างแรกสุดคือการปรองดองยังไม่เกิด และไม่น่าเกิด จนถึงไม่ควรจะเกิด แต่เราต้องมองเห็นให้ชัดเจนว่า การพูดคุยกันเช่นนี้ แม้ไม่ใช่การพูดคุยกันที่ดีที่สุด หรือสมบูรณ์แบบ เป็นสิ่งที่น่าชมเชย
ลองนึกภาพว่า ถ้าวันนั้น สองฝาแฝด ลงมาจากหลังมอเตอร์ไซค์ แล้วถามว่า อาจารย์เสนอให้แก้มาตรา 112 ทำไม พวกผมไม่เห็นด้วย น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสนทนาที่ยาวนาน ที่อาจจะจบลงด้วยการไม่เห็นด้วยเช่นเดิม แต่ก็เริ่มเข้าใจในจุดยืนของคู่ตรงข้าม การทำร้ายกันอาจจะไม่เกิด ภาวะไม่ปรองดองแต่เข้าใจอาจเริ่มต้นขึ้น
น่าเสียดายที่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น
ถ้าผู้ใหญ่ใช้โวหารมากกว่าใช้ข้อเท็จจริงและเหตุผล
เด็กๆย่อมใช้กำลังมากกว่าใช้ข้อเท็จจริงและเหตุผลเฉกเช่นเดียวกัน
ถ้าจะฝากใครสักคน คนคนนั้น ย่อมเป็นคนที่คุณก็รู้ว่าใคร

ไม่มีความคิดเห็น: