เมืองไทยไม่น่าเลย!: โชว์ห่วยVSยักษ์ค้าปลีก ใครก็รู้ ใครจะอยู่ ใครจะไป

วันเสาร์, กันยายน 23, 2549

โชว์ห่วยVSยักษ์ค้าปลีก ใครก็รู้ ใครจะอยู่ ใครจะไป

Big C, Carrefour, Tesco Lotus 3ยักษ์ใหญ่วันนี้ที่ใครหน้าไหนก็ไม่กล้าบอกว่าไม่รู้จัก ผุดดิสเคาท์สโตร์ขึ้นเป็นดอกเห็ด ไม่อยากจะใช้คำนี้เลยเพราะเหล่านักบ่นคนวิจารณ์ทั้งหลายก็ใช้กันให้เกร่อ แต่ว่าไม่ใช้คำนี้ก็ไม่รู้จะใช้คำไหนจริงๆครับ จะใช้ ผุดขึ้นเป็นขี้กลากก็กระไรอยู่ ปกตินักบ่นจะเหมารวมเอาว่าเป็นยักษ์ค้าปลีกข้ามชาติทั้งที่จริงมันก็มีข้ามมั่งไม่ข้ามมั่งก็เห็นๆกันอยู่ อย่าง 2 ใน 3ของยักษ์ใหญ่ก็มีคนไทยถือหุ้น เท่าไหร่นั้นไม่ทราบ

ผลกระทบอันมีต่อพื้นที่การใช้ชีวิตของคนทั่วไปนั้น เหลือประมาณครับ ถ้าจะขอไล่เรียงซ้ำเหมือนคนอื่นๆบ้างหวังว่าคงไม่ว่ากัน
สำหรับผู้ค้ารายย่อยนั้น เหมือนฝันร้ายในคืนอันยาวนาน กลุ่มผู้ซื้อหลักนั้นเปลี่ยนไปซื้อของในดิสเคาท์สโตร์กันไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เพราะของในร้านเล็กๆนั้นน้อยกว่า ถ้าจะเอาแค่ซื้อสบู่ซักก้อน ร้านเล็กๆอาจจะมีให้ได้แค่3-4ยี่ห้อ ก็ใครมันจะไปทุ่มซื้อ10-20ยี่ห้อมาตุนไว้ไหว แต่ดิสเคาท์สโตร์นั้นให้ได้ ถ้าหากว่าดิสเคาท์สโตร์ตั้งอยู่ห่างกัน4มุมเมืองก็ว่าไปอย่าง แต่ก็อย่างที่รู้กันว่ามันแทบจะทุกจุดในกรุงเทพที่มีร้านเหล่านี้แทรกตัวอยู่ เอาเป็นว่า ถ้าออกจากบ้านไปไม่กี่ป้ายรถเมล์คุณก็มีสิทธิใช้บริการดิสเคาท์สโตร์แล้ว ถ้าจะมีใครยืนซดกันได้แบบหมัดต่อหมัดทุกวันนี้แล้วก็คงได้แก่ร้านมินิมาร์ท ตระกูลเซเว่นอีเลเวน แฟมิลี่มาร์ท เป็นต้น แต่ก็อย่างว่า ยิ่ง2ฝ่ายนี้ยืนซดกันได้นานเท่าไหร่ หญ้าแพรกอย่างโชว์ห่วยก็แหลกราญเท่านั้น
สำหรับผู้ซื้อ มันดูเหมือนจะดีมากๆถ้ามองในมุมผู้ซื้อ ของที่ซื้อได้ก็มีราคาถูก ทางเลือกสินค้าก็มีหลากหลาย สะดวกสบายเพราะมีรถเข็นให้ด้วยในบรรยากาศติดแอร์ เผลอๆก็เป็นที่ผักผ่อนหย่อนใจ ดูหนังดินเนอร์ได้ทั้งหมด น่าจะดี
แต่สิ่งที่เสียไปแบบไม่ทันรู้ตัว ก็คือ เงินในกระเป๋า สังเกตดูสิครับว่า ถ้าซื้อของหน้าปากซอย คุณจะใช้เงินสักเท่าไหร่ แต่ถ้าซื้อของในดิสเคาท์สโตร์คุณใช้เงินเท่าไหร่ นี่ยังรวมไปถึงว่าพฤติกรรมติดตัวในการซื้อของไม่จำเป็นเพราะว่ามันถูกอีกต่างหาก คนจำนวนมากไปดิสเคาท์สโตร์ตั้งใจจะซื้อของเพียงอย่างเดียว แต่จบลงด้วยการขนของมาเต็มท้ายรถ เพราะคำว่า ไหนไหนก็มาแล้ว
อีกอย่างนั้นของที่ซื้อถูกจริงเพราะมีการแข่งขันกันในเรื่องของราคาระหว่างดิสเคาท์สโตร์ แล้วยังถูกแข่งขันแฝงอีกต่างหากระหว่างผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันที่ต้องการสอดแทรกเข้ามาในตลาดติดแอร์ ถ้ามองย้อนกลับไปในที่มาของราคานั้น เป็นเรื่องของ กำไร และ ต้นทุน การบีบราคาการบีบต้นทุนนั้นเป็นความเกี่ยวเนื่องโดยตรงส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่คือ วัตถุดิบ และ การผลิต ซึ่งทั้งสองส่วนนั้น เป็นที่มาของคุณภาพ คุณภาพจึงถูกกระทบทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
ราคาลด คุณภาพดี ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นไปได้ยากที่จะเป็นอย่างนี้ได้ทั้งหมด ส่วนใหญ่แล้ว ของถูกมักจะมีคุณภาพที่ด้อยกว่า

ความเป็นจริง ก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ว่าความได้เปรียบมันทิ้งกันแบบไม่เห็นฝุ่น
ถามว่าถ้าเราตั้งกำแพงการค้าขึ้นมาขวางทำยังไงละครับ เขาก็จะตัดโน่นตัดนี่ที่เขาเคยช่วยเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสิทธินำเข้าต่างๆทั้งยุโรปและอเมริกาขึ้นมาขู่ ถ้างั้นเราก็แพ้อยู่ดีแหละครับ ไหนจะเรื่องเขตการค้าเสรีอีกที่โดนบีบอยู่ทุกวันทุกวันจนหน้าเหลือง

มันมีความเป็นไปได้เหมือนกันที่ถ้าเรามีช่วงเวลาพิเศษ อย่าง คณะปฏิรูป เป็นผุ้ถืออำนาจหลักในสังคม มันจะสามารถแก้ไขอะไรได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องคำนึงถึงญาติสนิทมิตรสหายและสายเส้น แต่ทว่า เรื่องมันไม่ได้ง่ายดายอย่างใจนึกหรอกครับ
ลองนึกดูว่าถ้าท่านนายกสุรยุทธเกิดบอกว่า งั้นก็งดหมดไม่ให้มีดิสเคาท์สโตร์เพิ่มแล้ว มันไม่ได้สร้างสมดุลขึ้นมาแบบทันทีทันใดแน่นอน นึกภาพว่าผู้เล่นในตลาดที่มีอยู่จะมีสถานะแบบไหน เทสโก้โลตัส ก็คงจะยิ้มเลย เพราะถึงจะเสียโอกาสการขายมากขึ้นในอนาคต แต่ด้วยความที่เป็นผู้เล่นใหญ่สุด อะไรจะมีเปรียบกว่านี้ละครับ เพราะคู่แข่งนั้นไม่สามารถเปิดสโตร์แข่งขันได้ ร้านมินิมาร์ทหรือร่างทรงแบบโลตัสเอ็กเพรสก็จะสยายไปทั่วทุกหัวระแหงแทน ทีนี้ก็อยู่ดีละครับว่าร้านรายย่อยก็มีอันต้องวินาศรอบสองด้วยเกมบี้กันของ โลตัสเอ็กเพรส บิ๊กซีมินิ แล้วยังเซเว่น อีเลฟเว่น อีกต่างหาก
ทำนองว่าช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกราญ

มันแปลกมั้ยครับ ว่าเราไม่สามารถกำหนดยุทธศาสตร์แบบอิสระได้เลยจริงหรือ?

มันต้องได้ครับ เพียงแต่เราต้องรู้ว่าเรากำลังแลกอะไร กับอะไร
สมมติว่าถ้าโดนมาตราการตอบโต้จากต่างชาติ เราเสียอะไรบ้างครับ คิดเป็นมูลค่าเงินออกมาแล้วคำนวนกลับ ด้วยสมการ
ผลเสียจากการค้าระหว่างประเทศxเวลา = มูลค่าการค้าของขุมชนxจำนวนชุมชนxเวลา
ทั้งนี้อย่าลืมครับว่าเวลาของสองด้านนั้นไม่เท่ากัน เวลาแห่งความสูญเสียการค้าระหว่างประเทศอาจดำรงอยู่3-5ปีหลังจากนั้นก็คงปรับตัวกันได้ แต่เวลาของชุมชนอาจยาวนานจนคาดไม่ถึงทีเดียว
หากท่านมีปัญญาวางแผนหาทางออกของการปรับตัว เวลาแห่งความเสียหายจะสั้นลงไปอีก
แต่อย่าบอกนะครับว่าไม่มี
เราจ้างท่านด้วยเงินภาษีให้มาคิดมาทำ

ไม่มีความคิดเห็น: