เมืองไทยไม่น่าเลย!: เรื่องที่ผิดหวัง ตอนที่2

วันอาทิตย์, มีนาคม 05, 2549

เรื่องที่ผิดหวัง ตอนที่2

ว่ากันต่อเรื่องที่ผิดหวัง
ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ ที่ผมผิดหวัง เพราะเข้าใจ อย่างที่บอก
ไม่ใช่คุณ พลตรีสนั่น เพราะผมไม่ได้หวัง
แต่ที่ผิดหวังอย่างจัง คือ ทั่นบรรหาร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่21ของไทย
สองคนแรกไม่เคยอยู่บนจุดสูงสุดเหมือนอย่าง คุณบรรหาร ย่อมไม่เข้าใจได้ว่าการที่ถูกคนจำนวนมากเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่นั้น ต้องแบกอะไรไว้บนบ่าบ้าง การลาออกสำหรับทักษิณ จะหมายถึงการยอมรับ ในหลายๆอย่าง
อาจหมายถึงการรับผิด สำหรับคนบางกลุ่ม
และอาจรวมถึง การยอมรับ ว่าการบอยคอตเป็นเรื่องที่กระทำได้ และมีผล
แต่ผมคิดว่าคุณบรรหารน่าจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี

ก่อนจะวิพากษ์ใดอื่น ขอกราบด้วยความเคารพเลยครับว่า ส่วนตัวผมเป็นคนหนึ่งที่นิยม ยกย่อง และชื่นชมการทำงานของคุณบรรหาร มากๆ เผลอๆถ้าวัดกันเป็นมารตได้ จะมากกว่า คุณทักษิณและคุณชวน เสียอีก ใครจะกล่าวหาว่าผมดูหมิ่น ท่านองคมนตรีก็ยอม ผมนิยมท่านบรรหารมากกว่า
ครับ ดังนั้นแล้วถ้าหากจะระคายเคืองไปบ้าง ขอเรียนว่า ด้วยความรักครับถึงได้ติติงกัน

เอาละว่า เราต้องยอมรับว่า หนทางของพรรคชาติไทย ค่อนข้างจะตีบตัน
ท่านบรรหารจะมองไปทางไหนก็ขยับตัวได้ยาก ใครอื่นอาจจะมองว่ากระสุนใกล้หมด อะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการขับเคลื่อนองค์กรใหญ่ๆแบบพรรคชาติไทยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เมื่อปีที่แล้ว ภาพของพรรคชาติไทยยังสนิทแนบแน่นกับพรรคไทยรักไทยอยู่ดีๆ ก็ต้องมีอันพลิกผัน
การย้ายฝั่งมาอยู่ร่วมกับทางประชาธิปัตย์ ก็เป็นไปแบบฝืนๆ เหมือนสูตรอาหารที่ยังไม่เข้าเนื้อกันดี คุณอภิสิทธิ์ว่ายังไงมา แกก็จะว่าไปแกนๆกลางๆไว้ก่อน จนถูกหลายคนประเมินว่าเป็นพรรครอโอกาสเสียบ
จะอยากเสียบหรือไม่อยากเสียบ ก็ไม่ได้ว่าอะไรกันหรอกครับ จุดมุ่งหมายแต่ละคนไม่เหมือนกัน แรงขับเคลื่อนก็แตกต่างเราไม่อาจประนามอะไรกันได้ และไม่ควรด้วย

แต่ปัญหามันอยู่ที่การเลือกตั้งวันที่ 2เมษานี้ มันถือว่าเร็วเกินไปครับ อย่างน้อยก็สำหรับ คุณบรรหาร
ถ้าไม่ร่วมกับฝ่ายค้าน พรรคชาติไทยเองก็ต้องกังวลว่าจะถูกลดขนาด เหมือนอย่างอดีตที่ผ่านมาที่ปรากฏกับบางพรรคการเมือง
อาจจะรวมถึงกระแส ขำขู่ที่ว่า ถ้าคุณบรรหาร ไม่ร่วมลงสัตยาบัน บอยคอต กับฝ่ายค้าน จะมีคนกล่าวหาทันที ว่าบรรหารรับเงินทักษิณ 500 ล้านบาท จริงไม่จริงไม่รู้
ผมไม่รู้ว่า ถ้าคุณบรรหาร อ่านบทความแล้วอาจจะบอกว่าผมเป็นเด็กวานซืน ไม่รู้อะไรแล้วพูดมาก
ผมก็ไม่เถียง เบื้องหลังของรัฐบาลทักษิณที่คุณบรรหารรู้ อาจจะมากกว่าที่ผมได้ยินเยอะ และอาจจะเชื่อถือได้มากกว่า ตลอดจนการมองการณ์ไกล คุณบรรหาร เองอาจจะเห็นว่า การปล่อยรัฐบาลทักษิณบริหารประเทศ อาจเป็นอันตรายจนเกินกว่าจะเยียวยาได้ในอนาคต
ก็เป็นได้
และผมก็ยอมรับว่าไม่แตกฉาน และไม่รู้จริง ยิ่งในยุคที่ข่าวสารสะพัดแพร่อย่างรวดเร็วอย่างนี้
อันใดจริง อันใดเท็จ ยากนักที่จะรู้ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ คือ เราต้องมีสติ แจ่มใส เพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา
ถ้าวันนี้ ข้อมูล ไหนที่ได้มาแล้วผมรู้ไม่จริง หรือไม่รู้จริงๆ ไม่ว่าแหล่งข่าวเป็นอะไร ผมก็จะถือว่าเป็น"ข้อมูล"(information) ก่อนเท่านั้น
ส่วนสิ่งที่เป็นจริงและประจักษ์แจ้ง(fact) นั้นผมถึงจะมองมันให้ลึกซึ้งขึ้น อย่างระมัดระวัง
เพราะ ความจริง นั้นอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากหลายๆสาเหตุก็เป็นได้ และความจริงที่ผมเห็นก็อาจมีเบื้องหลังของความจริงอีกทอดหนึ่ง

สิ่งที่เป็นจริง ที่ผมเห็นคือ ไม่ว่าคุณบรรหารตัวตนแท้ๆ เป็นคนดีหรือไม่ แต่ที่รู้คือ คุณบรรหาร ช่วงดำรงตำแหน่ง เป็นหนึ่งในนายกรัฐมนตรี ที่ทำงานหนักที่สุด ความสามารถของคุณบรรหารนั้น ไม่เป็นที่ประจักษ์มากนัก แต่เรื่องของการทำงานหนักและความตั้งใจได้ถูกยืนยันแล้วว่าเต็มร้อย
หลายอย่างที่คุณบรรหารทำ เป็นคุณูปการแก่ประเทศชาติทีเดียว เช่นเรื่องปฏิรูปการเมือง เป็นต้น เป็นตัวอย่างของการพูดจริงทำจริงของคุณบรรหาร
แต่ ณ ห้วงเวลาตกต่ำของคุณบรรหาร ผมจำได้ไม่เคยลืม ว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้ กระทำย่ำยีอย่างไรไว้บ้างในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นคำรบสอง เมื่อครั้งนายกรัฐมนตรีชื่อ บรรหาร ศิลปอาชา
เผอิญว่า ผมติดตามการถ่ายทอดสด เกือบตลอดเวลาทั้ง3วัน เว้นไปบ้างบางขณะที่ต้องทำธุระส่วนตัวบ้าง ถือว่าเป็นการติดตามการเมืองที่ตั้งอกตั้งใจมากๆครั้งหนึ่ง
พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มุ่งประเด็นการบริหารงานใดๆเลย ส่วนใหญ่มุ่งไปที่การโจมตีคุณบรรหารเป็นหลัก ทั้งเรื่องการศึกษาและชาติกำเนิด แม้กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายยังไม่หยุดพัก ที่จะโยงเอาความไม่จริงเรื่องการเกิดของคุณบรรหารให้ดูน่าเชื่อถือ ทุกวันนี้ผมย้อนคิดกลับไปยังรู้สึกเสียใจ ที่การเมืองไทยมีการดำเนินการทางการเมืองที่ต่ำมากจนน่าใจหาย ไม่นับว่าเป็นเรื่องส่วนตัวแล้วเท่านั้น ยังเอาเรื่องไม่จริงมาทำให้เป็นเรื่องจริง
ที่น่าสลดอดสูใจกว่านั้น ผมเดาว่าหมากสุดท้ายที่พรรคชาติไทยวางเอาไว้ คือการปล่อยให้พรรคฝ่ายค้าน นำโดยประชาธิปัตย์(ที่ลืมไม่ได้คือ คุณอภิสิทธิ์ ที่มีบทบาทมากๆไม่น้อยไปกว่าใคร ในฐานะหัวหอกโจมตีเรื่องการศึกษาของคุณบรรหาร) เอาข้อมูลเท็จนำเสนออย่างต่อเนื่อง แล้วสุดท้าย อ.ชุมพล ก็แสดงหลักฐานหักล้าง เรื่องชาติกำเนิด ชนิดทำให้ คุณชำนิ พรรคประชาธิปัตย์ที่ทำหน้าที่ทหารม้าเรื่องชาติกำเนิดขณะนั้น พูดง่ายๆแบบชาวบ้านคือเสียหมาไปเลย
ผมนอนหลับไปด้วยความสบายใจ ว่ารัฐบาลคงได้บริหารต่อ แต่วันรุ่งขึ้น หัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ กลับลงไปในทางที่ว่า บรรหาร เละ แพ้ย่อยยับ
บทเรียนในวันนั้น ที่เกิดขึ้น คือนอกจากพรรคฝ่ายค้านเล่นเรื่องส่วนตัวได้แล้ว พรรคฝ่ายรัฐบาลก็ไม่คิดจะช่วยเหลือ ซ้ำร้าย สื่อมวลชนก็ไม่สนใจข้อเท็จจริงที่เกิดขี้นอีก
มันทำให้เป็นบรรทัดฐานว่า ถ้าคนจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ นอกจากมุ่งมั่น ทำความดี มีความรู้ ชาติกำเนิดต้องเป็นที่ยอมรับและดีด้วย
ถึงบรรทัดฐานนี้ไม่ได้ถูกเขียนออกมา แต่สังคมก็ได้ซึมซับรับทราบแล้วครับ ณ วันที่คุณบรรหาร ประกาศยุบสภา
ผมจำได้ขึ้นใจแค่ไหน ผมว่าคุณบรรหารต้องจดจำขึ้นใจยิ่งกว่าผมไม่รู้กี่ร้อยพันเท่า

ผมถึงได้ผิดหวัง การตัดสินใจ ของคุณบรรหารอย่างยิ่ง
คุณบรรหาร อาจจะมีเหตุผลร้อยแปด
แต่ คุณบรรหาร ที่ผ่านวิกฤติ แบบพวกมากลากไป สื่อชี้นำมวลชน แบบที่ลากคุณบรรหารลงจากเก้าอี้ทั้งที่ไม่ได้ขาดความชอบธรรมใดๆ กลับจับมือกับคนพวกเดิม ร่วมทำเรื่องราวที่ขัดกับการส่งเสริมประชาธิปไตยด้วยการบอยคอตไม่ลงเลือกตั้งเว้นเสียแต่ว่านายกต้องลาออก ทำได้อย่างไรครับ
คุณบรรหาร อาจจะมองว่าสิทธิในการไม่ลงเลือกตั้งเป็นของคุณบรรหาร ผมคงไม่ขยายซ้ำเรื่องที่ผมได้เขียนไปแล้ว วันนี้ เท่ากับคุณบรรหารตัดสิทธิบางส่วนที่คนจำนวนหนึ่งจะได้แสดงตัวว่าเห็นชอบกับแนวทางของคุณบรรหารไป
และอีกข้อ ก็คือ คุณบรรหาร ไม่น่าปล่อย ให้นักการเมืองรุ่นลูก อย่างอภิสิทธิ์ ชักนำเพื่อประโยชน์ของอภิสิทธิ์เองเป็นใหญ่
วันหน้า พรรคชาติไทย จะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่วันนี้ ด้วยเหตุผลทุกด้าน พรรคประชาธิปัตย์ต้องพยายามให้ พรรคชาติไทยร่วมวงบอยคอต เพื่อสร้างความชอบธรรม ลำพังพรรคประชาธิปัตย์ จับมือกับมหาชน ไม่เกิดน้ำหนักเท่าไหร่หรอกครับ รังแต่จะให้คนครหา ว่ารากเดิมเดียวกันร่วมมือกันก็เท่านั้น

จริงๆก็น่าเห็นใจครับ จะร่วมมือก็ใช่ที่ จะไม่ร่วมมือก็ไม่ได้ สุดท้ายจากการประเมินอย่างละเอียดแล้วคุณบรรหารก็ตกปากรับคำไป และจากนิสัยคุณบรรหารแล้วคงไม่กลับกลาย พลิกลิ้นได้
และวันนี้ที่ผมเขียนบทความก็น่าที่จะสายเกินการ ที่จะแก้ไข ดังคำพูดที่คุณบรรหารให้สัมภาษณ์
แต่ถ้าผมเป็นคุณบรรหาร ณ วันนั้น ผมจะบอกกับสื่อมวลชนว่า
ผมไม่ได้รับเงินทักษิณ แต่ผมยินยอมให้คนว่า ผมว่า ผมรับเงินทักษิณ ดีกว่าให้ผมกระทำเรื่องที่ขัดกับเจตนารมณ์ของประชาธิปไตย ถ้าไม่มีใครกล้าเล่นการเมืองอย่างถูกต้องแล้ว พรรคชาติไทยขอประกาศลงสมัครเลือกตั้งเพื่อเป็นพรรคฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในสภา ดีกว่าปล่อยให้ประชาธิปไตยของไทยเดินไปผิดทาง พรรคชาติไทยขอยึดมั่นในหลักการสำคัญกว่าความอยู่รอดของตัวเองและพวกพ้อง
แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับ ผมเข้าใจดีว่า ภาวะอันกดดันมันเป็นอย่างไร และคนพูดนั้นง่ายกว่าคนทำเยอะ
ถึงวันนี้แล้วถ้าคุณบรรหารจะทำให้มันถูกต้องก็คงไม่ทันแล้ว ผมแค่หวังว่าโอกาสหน้าคุณบรรหารคงไม่ทำลายศรัทธาผมอีก

ไม่มีความคิดเห็น: