เมืองไทยไม่น่าเลย!: ยุบสภา เพราะว่า วีรชน?

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 25, 2549

ยุบสภา เพราะว่า วีรชน?


บอกตัวเองแล้วว่าจะไม่ จะไม่จริงๆแล้วเชียว ก็อดไม่ได้อยู่ดี สำหรับเหตุบ้านการเมืองสุดฮ็อตในวันที่24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
เอาจนได้ครับ เคลื่อนไหวกันจนมีผลเข้าจนได้ ในที่สุดนายกรัฐมนตรีของไทยที่มาจากการเลือกตั้ง ถูกคนจำนวนเรือนหมื่นกดดันขับไล่กระทั่งต้องประกาศยุบสภา
เรื่องนี้มีประเด็น 2 อย่างที่น่าพูดถึง
นายกทักษิณเป็นนายกที่มาจากการเลือกตั้ง อันน่าจะถือได้ว่า เป็นการเลือกตั้งที่มีวิวัฒน์อันสูงสุดเท่าที่เคยเป็นมา แต่ก็เป็นนายกที่ต้องยุบสภาจากการที่มีมวลชนจำนวนหนึ่งขับไล่ให้พ้นตำแหน่งในขณะเดียวกัน
ย้อนไปในอตีตครับ เหล่าชนที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นวีรชน 14 ตุลา 16 ตุลา และกระทั่งพฤษภาทมิฬ คือผู้ที่ต่อต้านผู้นำที่เราเรียกกันว่าทรราช ผู้นำเหล่านั้นมาจากการแต่งตั้งโดยทั้งสิ้น และแต่งตั้งกันโดยอำนาจทางการทหารล้วนๆ ที่พูดถึงนี่ก็คือ มีคนบางกลุ่ม พยายามจะใช้คำเดียวกันนั้น กับ กลุ่มคนที่เดินขบวนขับไล่นายกทักษิณในคราวนี้ ว่า วีรชน
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ มติชน นั้นเคยขึ้นหัวจั่ง เป็นเควสขั่นมาร์ค (?) ตามหลัง คำว่า "วีรชน"
มันนาคิดมั้ยครับ น่าคิดมั้ยครับว่าเราจะเรียกได้เต็มปากจริงๆหรือ ว่า เขาเหล่านั้นเป็น วีรชน
นัยยะแห่งวีรชน ในเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์นั้น มันมีคุณค่าในตัวเอง ไม่ต้องรีบร้อนยกย่องกันเองให้วุ่นวายดอกครับ คุณค่าของวีรชนจะปรากฎแม้จะเรียกขานกันด้วยชื่อเรียงเสียงไร แต่ความหมายแห่งคุณค่านั้นอยู่ในเรื่องราวทางใจครับ ไม่ใช่ความหมายในพจนานุกรมอันเป็นสัญญะทางวาจา
มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเคยเรียกร้องกันค่อนข้างถึ่ให้บรรจุเรื่องราวประวัติศาตร์ ของวีรชน 14,16ตุลา และกระทั่งพฤษภาทมิฬ ให้ใส่ไว้ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย (แต่ก็มีการคัดค้าน เดากันว่ากระทบกระเทือนตระกูลเก่าแก่ต่างๆ จะทำให้สกุลเหล่านั้นไม่อาจเชิดหน้าชูคอต่อไปได้ในวงสังคม) สุดท้ายก็ไม่อาจทำไห้สัมฤทธิ์จริง แต่เชื่อเหลือเกินว่าในใจผมและคนไทยอีกหลายคน เต็มใจอย่างยิ่งที่จะให้มีไว้เป็นอนุสรณ์อันทรงคุณค่าให้ลูกหลานได้ระลึกถึงกัน จะได้สำนึกกันว่าตัวกูที่ยังอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปรกติสุขนั้น แลกมาด้วยเลือดและน้ำตาอย่างไร
กลับกันครับ ถามใจคุณว่า คุณอยากจะให้ปรากฎ ในหน้าหนังสือเรียนหรือเปล่า ว่า "วีรชน"รวมตัวกันขับไล่นายกทักษิณผู้มาจากการเลือกตั้ง?
ผมคนนึงละ "ไม่"
อันที่จริงในความเห็นของผมแล้ว เรื่องนี้มันน่าอายออกจะตายไป
วีรชนผู้กล้าที่สละชีพเพีอชาติแก่เราในอตีตนั้น เขาเหล่านั้นรู้เต็มอกครับ ว่าทรราชมีปืนในมือเป็นอาวุธ
รู้อยู่เต็มหัวใจครับ ว่าพฤติกรรมผู้นำเหล่านั้น ถนัดในการใช้กำลังเพื่อรักษาอำนาจ มันไม่ได้แปลกอะไรเลยครับที่จะทราบเพราะอำนาจที่เขาเหล่านั้นได้มา ล้วนแล้วแต่เปื้อนเลือดและใช้กำลังช่วงชิงโดยตรง
กลุ่มคนที่ออกไปต่อต้านนั้น รู้เต็มหัวใจแน่นอนครับ ว่าอันตรายทุกฝีก้าว
ผมกล้าบอกได้เลยครับว่า ทุกคนรู้ว่าจุดจบของเหตุการณ์นั้น อาจหมายถึง ไม่มีวันได้กลับมาอีกก็เป็นได้
แต่เขาเหล่านั้นก็ยินดีครับ ยินดีก้าวออกจากบ้านไปเพื่ออุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ใครก็แล้วแต่ไม่อาจลบหลู่ได้
ไม่ว่าการประท้วงเหล่านั้น แท้จริงมีเบื้องหลังอย่างไรก็แล้วแต่ จะมีคนชักใย มีคนตักตวงผลประโยชน์ ปลุกปั่นเพื่อเหตุผลทางการเมือง
แต่หัวใจของแต่ละคนนั้นเป็นของจริงครับ เขาออกไปเพื่อไปช่วงชิง อำนาจอธิปไตยให้กลับคืนมาแก่คนไทย ให้แก่ลูกให้หลานเรา
แล้วย้อนมาดู กลุ่มคนที่มีบางคนเอ่ยอ้างว่า วีรชน ถามว่าเขาเหล่านั้นกำลังสู้กับอะไรอยู่ ผมแน่ใจครับว่าเขาบางคนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า กำลังออกไปสู้เพื่อชาติ แต่ถามดูเถอะครับว่า มีกี่คนครับที่เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้จะกล้าหันปืนเข้าใส่ประชาชน คุณเชื่อหรือครับว่าคนอย่าง ทักษิณ กล้าสลายม็อบด้วยกำลังทางทหารในระดับเดียวกับทรราชในอตีต (ยิ่งเป็น ทักษิณ คนที่มีขาข้างหนึ่งเกี่ยวพันกับแวดวงธุรกิจอยู่ ยิ่งไม่มีทางครับ)
เอาแค่ว่ามีบางคนเคยอยู่ในพฤษภาทมิฬมาก่อน ถามใจดูเถอะครับว่า ออกไปคราวนั้น กับ คราวนี้ หัวใจที่แบกไปอันไหนรู้สึกว่าเสี่ยงอันตรายกว่ากัน
แค่เอาหัวใจตรงนี้วัดกัน มันก็พอจะบอกได้ว่า อันไหนคือคุณค่าแท้แห่งวีรชน

น่าเสียดายนะครับ ถ้าวีรชนผู้สละชีพในอตีต ลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วพบว่า ลูกหลานที่พวกเขาสู้อุตส่าห์ช่วงชิงคำว่าประชาธิปไตยกลับมาให้นั้น วันนี้กำลังเหยียบย่ำ"ประชาธิปไตย"อยู่
หลักการณ์แห่งประชาธิปไตย มีหลักและแนวทาง ที่เป็นยอมรับกันว่าเราจะถือตามหลักความเห็นของคนหมู่มาก เราจะมีนายกและรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง
แต่ "วีรชน"หยกๆของเราได้ย่ำยีไปเรียบร้อยแล้วครับ คนแค่เรือนหมื่น แต่ได้ล้มกติกาที่คนนับล้านเลือกสรรแล้ว ภูมิใจมั้ยครับ
แค่เขาเหล่านั้นไม่พอใจ คนที่ร่ำรวยกว่า เกลียดคนที่ร่ำรวยกว่า แค่เพียงนั้นก็ขับไล่คนที่คนนับล้านช่วยกันเลือกมาได้ แค่นั้นหรือครับ
แค่คนบางคนรวยกว่าเรา แล้วมันเป็นเหตุผลเพียงพอแล้วหรือครับ ที่เราจะยอมหักหลักการทิ้ง ซ่อนมันไว้ข้างหลัง ตอกตะปูปิดฝาแล้วบอกกับตัวเองว่า "ไม่ละแต่ครั้งนี้เท่านั้นแหละ คนๆนี้ไม่เหมาะสม ดังนั้นขอแต่ครั้งนี้เท่านั้นแหละ เดี๋ยวเสร็จเรื่องราวแล้วเราค่อยหยิบมาปัดฝุ่นขี้นหิ้งใหม่อีกที"
ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณจะโอเคกับเรื่องอย่างนี้มั้ยล่ะครับ เช่นว่า
- เอาน่า เราก็เรียนเก่งอยู่แล้ว แต่เราอยากได้ที่1 ถ้าไม่โกงสักข้อ ละคงต้องเป็นที่2 แน่ ทำเองตั้งหลายข้อแล้ว โกงสักข้อจะเป็นไร ยังไงเราก็ยังเก่งอยู่
- ตำรวจจับคนฉกชิงวิ่งราวได้ แต่ไอ้เจ้านั่นมันชิงของไปเลี้ยงแม่ อย่างนั้นก็คงไม่เป็นไรมั้ง ปล่อยๆมันไปก่อน
คุณจะโอเคมั้ยครับ คุณจะปล่อยๆไปแล้วก็ลืมมันซะว่าครั้งหนึ่ง หลักการของคุณเปลี่ยนไปเพราะมันมีเหตุผลรองรับ
คุณอาจจะบอกว่า นี่มันคนละเรื่อง ขนาดความใหญ่โตของเหตุการณ์แตกต่างกัน แต่ยิ่งขนาดใหญ่โตนี่แหละครับ ยิ่งมีผลสะท้อนสู่ตรรกะทางสังคมอย่างกว้างขวาง
บ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไรครับ ถ้าเราใช้วิธีนี้เป็นครรกะในการตัดสินใจอย่างสม่ำเสมอ ยอมหย่อนย่อหลักการลงเพื่อความสะดวกดายอย่างใจต้องการตลอดเวลา

ถ้านายกทักษิณ ได้ทำผิดกฎเกณฑ์ ผิดกฎหมาย สักอย่างสักข้อเรื่องหุ้นที่ยกอ้างกัน แม้แต่ผมก็ยินดีเป็นแนวร่วมต่อต้านด้วยครับ
แต่นี่ไม่ใช่ครับ เพียงแต่ผิดตามความรู้สึกแห่งเหตุอันไม่เหมาะสมเท่านั้น มันยังไม่ถึงครับ ไม่ถึงขั้นที่ผมเห็นว่าเราควรเก็บหลักการเข้ากระเป๋าแล้วใส่ลิ้นชักเอาไว้
นั่นเป็นประเด็นที่1

ประเด็นที่2 คือผมดีใจครับที่นายกยุบสภา
ดีใจที่บ้านเมืองจะกลับสู่ความเป็นปกติอีกครั้ง ในทันใดที่มีการยุบสภาความตึงเครียดทางสังคมก็ได้ปลาสนาการไปสิ้น
ต้องยอมรับว่าเป็นความฉลาดของทักษิณอย่างยิ่งยวด ในสภาพตกเป็นฝ่ายตั้งรับ และทุกอย่างกำลังขี้นสู่จุดสูงสุดของสถานการณ์ แม้ว่านี่อาจจะเป็นเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามคาดการณ์ไว้ แต่ไม่ได้คาดหวังให้เกิด หรือภาวนาให้เกิดหลังจากมีการชุมนุมในจุดที่จำนวนผู้เข้าร่วม และสถานการณ์ที่ขีดสุดแล้วเท่านั้น
ว่ากันตามจริงเหมือนดังว่า ทักษิณ ยื่นมือไปคว้าหมัดไว้ก่อนที่จะง้างถึงขีดสุด ถ้ารอจนหมัดมาถึงการปะทะย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยง ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังไม่เงื้อ แล้วยื่นมือคว้า อาจต้องตกเป็นฝ่ายรับไปตลอด
ฉะนั้นแล้วการยื่นมือคว้าจับคราวนี้นั้น ช่วงชิงเป็นฝ่ายรุกอย่างหมดจดงดงาม จังหวะเวลาและการตัดสินใจ ลงตัวในทุกๆด้าน
ผมแทบจะกล้าฟันธงเลยว่าทักษิณจะกลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ แม้ไม่เท่าในจำนวนเสียง แต่ยิ่งใหญ่ในด้านศักดิ์ศรี
นี่เป็นห้วงจังหวะที่ฝ่ายค้านกลั้นใจให้พ้นผ่าน มิใช่ไม่อาจคำนวนได้ แต่เป็นห้วงเหตุการณ์ที่จำต้องผ่าน ถ้าทักษิณลังเลไม่ตัดสินใจ ฝ่ายค้านจะรวมกำลังทั้งหมดทุ่มเข้าจัดการในจังหวะเดียวกันที่มีกำลังเสริมจากภายนอก นับว่าหวุดหวิดหวาดเสียวยิ่ง
ถ้าทักษิณยุบสภาก่อนหน้านี้ เพียง 3-5 วัน ทักษิณจะกลายเป็นคนใจเสาะ ไม่สามารถนำใครได้อย่างแข็งแกร่งอีกต่อไป หลังจากนี้อีก 3-5 วัน ฝ่ายตรงข้ามจะรวมตัวกันติด ถึงตอนนั้นถ้าไม่ใช้กำลังเข้าสลาย (ซึ่งทักษิณทำไม่ได้เด็ดขาด เพราะจะเป็นผลเสียต่อทั้งส่วนตัว และส่วนรวม ซ้ำสุดท้ายผลเสียส่วนรวมจะย้อนกลับมาเป็นผลเสียส่วนตัวซ้อนเข้าไปอีก) ก็ต้องลาออกหรือยุบสภา แต่จะเป็นการยุบสภาในขณะที่มีผลเสียหายเกิดแก่บ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว ทักษิณจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว หวงอำนาจ จนถึงอาจจะถูกตราหน้าว่าพ่ายแพ้มวลชน
แต่จังหวะเวลานี้นั้น ทำให้ทักษิณมีความสง่างามทางการเมือง เป็นผู้รักษาผลประโยชน์ของชาติ อีกทั้งยังมีความเป็นลูกผู้ชายมากพอที่จะยอมรับการพิสูจน์จากคนทั้งประเทศ ยิ่งหมัดสุดท้ายจากรายการนายกคุยกับประชาชน เท่ากับว่ากลุ่มประท้วงนั้นขาดความชอบธรรมไปในสายตาคนทั่วไปทันทีในฐานะผู้สร้างความวุ่นวายและไม่สนใจกฎกติกาของสังคม
ฝ่ายค้านเองก็กลืนเลือดอย่างยากลำบาก เนื่องจากมาถึงจุดนี้แล้ว ยังไม่มีบทบาทให้เห็นชัดเจนใดๆยากจะมีเปรียบในสถานการณ์ข้างหน้า ไม่ใช่ว่าฝ่ายค้านไม่มีบทบาทอะไรเลย แต่ภาพของสนธินั้นชัดเจนกว่าในการเคลื่อนไหว แม้ยามที่สนธิพยายามสร้างความชอบธรรมของกลุ่มผู้ประท้วงให้มากขี้น ในห้วงเวลาที่มีเสียงสะท้อนว่าทั่วไปว่า สนธิเริ่มต้นจากผลประโยชน์ของตัวเองก่อน ด้วยการมอบธงการประท้วงให้กับกลุ่มอื่นๆ แต่กระนั้นภาพของสนธิก็ยังแจ่มชัดในความรู้สึกรับรู้ของคนทั่วไปอยู่ดี
ดังนั้นแล้ว เช้าวันนี้ แม้มีเสียงจากทางฝ่ายค้านวิพากษ์ถึงการยุบสภาของนายก ว่าไม่เป็นสิ่งที่เหมาะสมเนื่องจากสภานั้นไม่ได้ผิดอะไร ผู้คนขับไล่นายกจากความประพฤติอันไม่เหมาะสม แต่ก็เป็นเสียงกระท่อนกระแท่นที่ไม่มีน้ำหนักใดๆแก่สังคมเลย เพราะภาพที่ชัดเจนอีกภาพในสังคมคือสภาเท่ากับทักษิณ ดังนั้นแล้วเสียงนี้จึงเป็นความพยายามในห้วงเวลาเพื่อจะยับยั้งความชอบธรรมของทักษิณเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอันจริงจังหนักแน่นแต่อย่างใด กลับกันสะท้อนภาพฝ่ายค้านที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับความเปลี่ยนแปลงอันเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ใหญ่ในอนาคตอันใกล้

วิเคราะห์ซะยืดยาว เกินจากเมืองไทยไม่น่าเลย ไปนิด แต่ก็เถอะนะ มันอดไม่ได้เลยจริงจิ้ง

ไม่มีความคิดเห็น: