เมืองไทยไม่น่าเลย!: กัดลิ้นขาด ทางสู้ของลูกผู้หญิง+ลูกผู้หญิงด้วยกันทำกันได้ลงคอ

วันศุกร์, มกราคม 20, 2549

กัดลิ้นขาด ทางสู้ของลูกผู้หญิง+ลูกผู้หญิงด้วยกันทำกันได้ลงคอ


เรื่องติดค้างหัวใจช่วงนี้เรื่องนึงคือ เรื่องนักร้องสาว คุณพัชรี (ขอโทษนะครับจำนามสกุลไม่ได้) สู้ชายที่จะข่มขืนด้วยการกัดลิ้นขาด เดชะบุญ มีสิบล้อคนดีมาช่วย ไม่งั้นเราท่านก็ไม่อาจรู้ชะตากรรมของเธอได้ครับ
เรื่องนี้เป็นข่าวดัง เพราะปัจจัจหลายอย่าง ถ้าเป็นคนตามข่าวอาชญากรรมจริงๆ คนที่ถุกข่มขืนมีเยอะครับ ไม่รู้ว่าผู้ชายเรามันไม่มีที่ลงกันหรือยังไง ที่ปลดปล่อยมียิ่งกว่าดอกเห็ด ไม่ไป เลือกที่จะบังคับขืนใจเขาให้มันเป็นเรื่องราว แต่อย่างที่บอกครับ เรื่องที่ไม่เป็นช่าวดังอย่างนี้ก็เยอะครับ ที่เป็นข่าวได้เนี่ยก็เพราะ 2 อย่าง
1. เธอสู้ครับ ผู้เสียหายสู้ กัดลิ้นขาด
2. มีพลเมืองดี เข้ามาช่วย อย่างที่รู้แหละครับว่าเราหาคนที่เสี่ยงยุ่งเรื่องคนอื่นอย่างนี้หายากเหมือนกัน
ดังนั้นแล้วเรื่องนี้มันจึงดัง
แต่ดังขี้นไปอีกแน่ะ ก็ตอนที่ คนขับแท็กซี่ ผู้ที่ผมจะขอเอ่ยนามไว้เป็นเกียรติแก่วงตระกูลไว้ที่นี้ นายไพโรจน์หรือนายสมพร อยู่พูล มีภรรยาชื่อ นางนางอำพรรัตน นาเขียวงาม ผมก็ไม่รู้ได้ว่าแต่งงานกันหรือเปล่าเพราะข่าวไม่ได้บอก นามสกุลก็ไม่ตรงกัน หรือเธอจะเคยใช้นามสกุลคนอื่นมาแล้วก็ไม่ทราบได้ และไม่ใช่ประเด็นครับ ประเด็นคือ เธอโดดออกมาปกป้องสามี อย่างหัวชนฝาเลย ผมยืนยันเลยว่าหัวชนฝา
เนี่ยแหละครับที่มันทำให้ดัง เพราะมันไม่เคยมาก่อนเลยที่ภรรยาของผู้ต้องสงสัยจะโดดออกมาปกป้องกันขนาดนี้ และก็ไม่มียุคไหนอีกแล้วครับนอกจากยุคนี้ที่เปิดโอกาศให้ตอบโต้ได้ทางโทรทัศน์โดยเฉพาะรายการถึงลูกถึงคนของคุณสรยุทธ หรือ พ่อบ่างของท่านนายกทักษิณ (แหมมันน่ารักน่าหยิกนะชื่อเล่นเนี่ย แต่คนตั้งเนี่ยไม่รู้ว่าอยากจะแค่หยิกหรือเปล่าสิ )
เอาใจความหลักๆนะครับ นางอัมพรรัตน อ้างว่า สามีไม่ได้ข่มขืน แต่มีการสมยอมกัน แล้วยังไงไม่รู้แหละเรื่องของคนสองคนในรถเราไม่อาจจะรู้ได้ ทำไมกัดลิ้นกันก็ไม่รู้ แต่หนูเชื่อผัว
ส่วนนางพัชรีน่ะ หนูฟันธงร้อยทั้งร้อยของนักร้อง ต้องขายตัว เพราะหนูน่ะอยู่ในวงการนี้เคยเป็นนักร้องเหมือนกัน (อ้าว) แค่เนี่ยครับหลักๆ เธอไม่ได้มีประเด็นอะไรมากคุยไปมาก็วนๆอยู่ที่เดิมจะมีร้อยแปดพันเก้าเหตุผล หนูก็เชื่อผัว สงสารคุณสรยุทธแทน เพราะแกก็วนถามอยู่นั่นแหละว่าฟังขนาดนี้แล้วยังมั่นใจอีกรึ ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุกาณร์ แต่เธอก็ยืนยันคำเดิมอยู่ดี
ผมก็ดูไปเรื่อยๆแหละครับ มาถึงบางอ้อก็ตอนสุดท้าย ว่าการที่นางอัมพรรัตน ตัดสินใจทำอย่างนี้เนี่ย คือเธอตั้งใจใช้สื่อครับ โดยที่เธอหลุดออกมาว่า เธอมีทนายพร้อมสู้คดีแล้ว
ผมขอลงด้วยความเห็นผมเองนะครับ โพลโดยตัวผมเองนี่แหละ ว่าเท่าที่พบปะคนรู้จักมักจี่กัน ก่อนหน้าที่นางอัมพรรัตนจะออกมาคือเชื่อคุณพัชรี 101เปอร์เซ็นต์ (เกินร้อย) แต่หลังการแถลงของภรรยาจำเลยเหลือน่าจะ 99 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่า นายสมพรทำความผิดจริง โดยที่ในกลุ่มที่เชื่อว่านายสมพรผิดจริง อาจจะลังเลบ้างว่า อันที่จริงแล้วคุณพัชรี มีนอกมีในพูดไม่หมดไม่จริงรึเปล่า
ซึ่งถือว่าในการใช้สื่อเป็นเครื่องมือ นางอัมพรรัตน ถือว่าทำสำเร็จในแง่ดึงแรตติ้งคุณพัชรีได้ ให้คนเชื่อถือเธอน้อยลง แต่ในทางกลับกัน มันไม่ได้ทำให้เรตติ้งฝ่ายจำเลยดีขึ้นแม้สักส่วนเสี้ยว
ผมเดาว่า ทนายจำเลยเป็นคนแนะนำให้ทำอย่างนี้ครับ
จำได้มั้ยครับว่าสมัยลูกคุณเฉลิม ถูกกล่าวหาว่ายิงดาบตำรวจในผับ มันก็ลูกเล่นนี้เหมือนกัน ต้องหนีไปก่อนเพราะถ้าไม่หนี กระแสจะพัดให้ผิดแบบเต้มร้อย โดนหนักแน่นอน
แล้วพอหลังๆก็มุกเดียวกัน พยายามดิสเครดิตฝ่ายโจทย์ก็แบบเดียวกัน เช่นดาบตำรวจก็เมาเหมือนกัน จนยื้อไปมาท้ายที่สุด น้ำหนักพยานกลายเป็นเจือจางซะนี่ แน่ละครับ เวลาผ่านไปใครจะมานั่งจำได้หมดทุกรายละเอียดกัน ยังไม่ต้องรวมว่าเบื้องหลังจะมีอะไรยังไงหรือเปล่าอีกต่างหาก
ทนายของจำเลยคราวนี้ก็ยืมมุกเดิมๆมาใช้อีก แต่ทีนี้มันโหดร้ายไปนิดตรงที่ ปล่อยให้ลูกผู้หญิง กระทำต่อลูกผู้หญิงได้

ผมไม่บอกละครับว่าคนที่ผิดจริงๆน่ะใครกันแน่นั่นให้เป็นเรื่องในชั้นศาลสู้คดีกันดีกว่า
ผมก็เพียงแต่เชื่อเอาเองละครับว่านายสมพรเนี่ยผิดจริงๆ (อ้าว) แต่ไม่อ้าวละครับผมมันคนๆเดียวที่มีความเชื่ออย่างนั้นคุณเชื่อตามหรือไม่เชื่อตามก็ตามแต่วิจารญาณส่วนบุคคล ของใครของมันครับ
แต่ที่เล่ามายาวๆเนี่ยคือ ไอ้เหตุการณ์อย่างเนี่ยมันแย่น่ะครับไอ้ที่แย่กว่าก็คือ ผมรู้ว่าคนที่เชื่ออย่างผมเนี่ย มีส่วนหนึ่งครับ ที่เขว
คืออุตส่าห์เชื่อถือลูกผู้หญิงคนหนึ่งมาแล้วระดับหนี่ง แต่มาเขวเอาตอนที่มีผู้หญิงอีกคนออกมาพูดจาไร้เหตุผล แล้วก็พาคนเขว
คือรูปคดีน่ะผมไม่ห่วงหรอกครับ เพราะไงๆเสียเธอก็ต้องชนะคดีอยู่แล้ว
แต่ในด้านสังคมสิครับ ที่ผมเสียดาย เพราะไม่ว่าเธอจะก่อหรือไม่ก่อก็แล้วแต่เธอไม่ใช่คนผิด แต่ก็มีคนไม่น้อยที่รับฟังเรื่องที่ไม่น่ารับฟังแล้วเปลี่ยนวิธีมองเธอ
ทำไมไม่น่ารับฟังครับ
1. ก็เพราะคนพูดนั้น เชื่อถือไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ฟังแต่เขาเล่าเอาทั้งนั้น
2. เพราะคนพูดนั้น ไม่รับฟังเหตุผล ไม่ว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลใดๆ ก็ถือว่าไม่ได้ยินเสียอย่างเดียว คนแบบนี้มีค่าให้ควรไปฟังอะไรจากเขามั้ยครับ ต่อให้ศาลตัดสินชี้ขาดก็ไม่สนใจอยู่ดี
3. เพราะคนพูดนั้น ใจร้ายเกินไปครับ จากข้อ1และ2 เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะพูด แต่ยังออกมาพูดอาจจะด้วยตามคำแนะนำของทนาย ก็แล้วแต่ แต่ก็นับว่าใจร้ายอยู่ดี เพราะเป็นเจตนาให้ร้ายผู้หญฺงอีกคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็ได้ประสบกับเรื่องร้ายๆมาแล้วเปรียบได้กับ คนที่ขโมยของจากผู้ประสบภัย อีกทีนึง ซึ่งชั่วร้ายยิ่งกว่าธรรมดา

ประเด็นที่ผม มั่นใจคือ คณพัชรี เป็นฝ่ายถูกกระทำ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าด้วยสาเหตุแบบไหนหรอกครับ
เอาแค่ว่า สมมุติ นะครับ สมมุติ
สมมุติ คุณพัชรี ขายบริการจริงอย่างที่นางอัมพรรัตนอ้างมาจากปากนายสมพรอีกทีหนึ่ง
มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปกัดลิ้นเขา เว้นเสียแต่เธอไม่ยินยอม
ไม่ยินยอมก็คือไม่ยินยอมครับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ไม่จ่ายหรือจ่ายไม่ครบ มันก็คือไม่ยินยอม ไม่ยินยอมก็คือข่มขืน
เมื่อเป็นเหตุการณ์ข่มขืนแล้ว ไม่มีใครหรอกครับ ที่ไม่ยินยอมแบบสบายใจ มันเจ็บปวดกันทุกคน

ผมจำได้ว่า หลายปีก่อน มีหนังฮอลลีวู้ด เรื่องหนึ่งชื่อ The Accused นำแสดงโดย คุณโจดี้ ฟอสเตอร์ นักแสดงสาว(ในขณะนั้น) มากความสามารถ เธอเล่นเป็นโสเภณี ที่ถูกรุมโทรมข่มขืนในบาร์ด้วยชายฉกรรจ์หลายคน เรื่องนี้ก็เล่นตรงประเด็นนี้แหละครับ ที่การเป็นหญิงขายบริการ ทำให้สิทธิความเป็นคนหดหายไปหรือเปล่า มันไม่จำเป็นเลยที่ผู้หญิงคนหนึ่งเสียตัวเป็นร้อยครั้งด้วยความเต็มใจ จะไม่มีสิทธิปฏิเสธหนึ่งครั้งที่เธอไม่เต็มใจ มันไม่ได้หมายความว่าเป็นโสเภณีแล้วเธอจะต้องพร้อมที่จะแบให้แก่ทุกคน ทุกที่ และทุกสถานการณ์

ดังนั้นแล้วสถานการณ์ของคุณพัชรี ก็เป็นดุจเดียวกัน ผมไม่ได้บอกว่าคุณพัชรีขายบริการ แต่จะบอกว่าถึงแม้เธอจะขายบริการ
ก็ไม่มีความสมควรใดๆที่จะมีผู้ใดมองเธอด้วยสายตาตั้งคำถาม เพราะ เธอก็ไม่ผิด!

ไม่มีความคิดเห็น: